เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผู้เขียนได้เข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวที D.W ของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร 4 อำเภอสายเหนือของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ อำเภอหัวหิน ปราณบุรี สามร้อยยอด และกุยบุรี ซึ่งประเด็นที่พวกเราได้นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็คือ " การเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูกพืชทางเลือกใหม่ ของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร"
ทำไมพวกเราจึงเลือกประเด็นนี้มาเข้าเวที คำตอบก็คือ เพราะสถานการณ์การปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกพืชในพื้นที่ของเกษตรกรเปลี่ยนไปเร็วมาก
จากแหล่งปลูกสับปะรดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขณะนี้พื้นที่เหล่านั้นเริ่มลดลงโดยมี ยางพาราและปาล์มน้ำมันเข้ามาปลูกแซม หรือปลูกทดแทนในพื้นที่ปลูกสับปะรดเดิมเลยก็มี โดยเฉพาะในพื้นที่ฝั่งตะวันตกที่ติดเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มาก
เมื่อเหตุการณ์เลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรก็จำเป็นต้องปรับตัวและหาแนวทางการทำงานให้ทันกับสถานการณ์ ซึ่งจากการระดมสมอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ก็ได้ข้อสรุปในการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูกพืชชนิดใหม่ ได้ดังนี้
1. การสำรวจข้อมูลการเพาะปลูกในพื้นที่ เพื่อได้ทราบพื้นที่ปลูกพืชและแนวโน้มการลดหรือเพิ่มพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิด ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลในการจัดทำแนวทางส่งเสริมต่อไป สำหรับการสำรวจข้อมูลนี้อาจจะต้องบูรณาการกับ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติหรือประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรมาขึ้นทะเบียนสำรวจพื้นที่เพาะปลูก
2. ประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำเกษตรกร ในการพิจารณาตัดสินใจปรับเปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกพืช โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของพื้นที่
3. การศึกษาความเหมาะสมของสภาพดิน อากาศ และแหล่งน้ำ ต่อการเพาะปลูกพืช เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับแนะนำส่งเสริมการเพาะปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
4. การพัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน แก่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่มีองค์ความรู้เรื่องการเพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน ไม่มาก จึงจำเป็นต้องเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องเหล่านี้เพื่อสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำปรึกษาที่ดีแก่เกษตรกรได้
อย่างไรก็ตาม บทบาทของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ต้องมีการติดตามสถานการณ์การเพาะปลูกพืชและแนวโน้มของตลาดทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการปลูกพืชด้วย ดังนั้น เมื่อแนวโน้มว่าพื้นที่เพาะปลูกสับปะรดจะลดลงประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ความต้องการผลผลิตสับปะรดยังคงเดิม จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรที่จะต้องส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพการผลิตสับปะรดให้สามารถเพิ่มผลผลิตสับปะรดต่อไร่ให้มากขึ้น ให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดต่อไปด้วย สรุปก็คือ เจ้าหน้าที่ต้องตั้งรับกับการส่งเสริมพืชใหม่ควบคู่ไปกับการรักษาและพัฒนาการผลิตพืชเดิมให้ดีกว่าเดิม
เป็นผลของการทำ เกษตรเชิงเดี่ยว อย่างที่โฆษณาในโทรทัศน์
ดีมากๆที่ "คุณมุ่ยฮวง" ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เกษตรจังหวัด
ได้มีโอกาสให้ความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่
ได้เป็นที่พึ่งของเกษตรกรครับ
นับว่าเกษตรกรชาวประจวบฯโชคดีจริงครับ
ที่มีคุณมุ่ยฮวงคอยดูแลครับ
^_^!
พี่ฮวงขอบคุณมากที่ส่งมาอบรม สนุกมากได้เพื่อนเยอะเลยได้ความรู้มากๆจะนำกลับไปพัฒนาตนเอง
พี่ฮวงขอบคุณมากที่ส่งมาอบรม สนุกมากได้เพื่อนเยอะเลยได้ความรู้มากๆจะนำกลับไปพัฒนาตนเอง
เป็นแนวทางดีมากครับ
ขอบคุณมากที่นำมาฝากกัน สู้สู้ ลุยต่อเด้อพวกเราชาวส่งเสริมสักวันหนึ่ง
เขาคงเห็นใจเราชาวส่งเสริมเกษตร
เด่จายมั๊กมากที่ดัยเกิดเท่ประจวบฯ
คนจวบจายเด่บร้า..
อยากเชิญชวนหัยทุกๆโคนมาเท๋วประจวบฯกาน
ทุกคนเปงกานเองน๊ะคร้า..