ฝึกลูกรักให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง


พร้อมรับการเรียนรู้ได้ดีกว่า

 ฝึกลูกรักให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง

 

..กมล แสงทองศรีกมล

กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลกรุงเทพ

 

 

ทำไมต้องฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้พบวัยรุ่นอายุ17 ปีที่ขัดแย้งรุนแรงกับคุณแม่ เหตุเพราะคุณแม่สั่งให้เก็บข้าวของหนังสือในห้องนอนตัวเองแล้วไม่ยอมทำ เสื้อ กางเกง ถุงเท้า ผ้าเช็ดตัว ถอดตรงไหนก็วางตรงนั้น แม่ก็บ่น ดุว่า แม่โกรธมากๆเข้าก็เผลอใช้คำหยาบ บางทีก็ตีไป ลูกเป็นวัยรุ่นแล้วก็ยิ่งต่อต้านแม่ด้วยความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เพราะตั้งแต่เด็กคุณแม่ไม่เคยฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองเลย เรายังพบเห็นเด็กซึ่งพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงยังต้องป้อนข้าวอยู่บ่อยๆ ผมพบเห็นเด็กอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เคยพบเด็กคนหนึ่งอายุ10 ปีแล้ว พี่เลี้ยงยังต้องป้อนข้าวให้ ทั้งทั้งที่จริงๆแล้ว ตามพัฒนาการนั้น เด็กสามารถใช้มือตักข้าวกินเองได้ตั้งแต่อายุ1- 1 ปีครึ่ง บางคนถามว่าทำไมต้องฝึกให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเอง เช่นกินข้าวเอง อาบน้ำแต่งตัวเอง ก็มีคนงานพี่เลี้ยงอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะจ้างเขามาทำไมกัน คำตอบคือการฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองย่อมมีประโยชน์และผลดี ก็คือมันเป็นส่วนหนึ่งของการสอนลูกให้รู้เรื่องกฏเกณฑ์ ระเบียบวินัย นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อื่นๆ ดังต่อไปนี้ครับ

 

ได้ฝึกทักษะกล้ามเนื้อมือ

การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองเช่นการกลัดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า เป็นการฝึกทักษะการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อและสายตา แล้ว เป็นที่น่ายินดีว่าปัจจุบันนี้โรงเรียนต่างๆหันมาให้ความสำคัญต่อทักษะในการช่วยเหลือตัวเองมากขึ้นครับ เช่นการสอบเข้าชั้นประถมบางโรงเรียนเริ่มให้สอบผูกเชือกรองเท้าโดยมีการวัดผลที่เป็นระบบ เด็กที่ไม่เคยฝึกการช่วยเหลือตนเองย่อมทำคะแนนได้ต่ำกว่า

 

เรียนรู้การแก้ปัญหา ( Problem solving skills )

การฝึกเด็กให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองจะ ช่วยพัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหา เช่นเด็กที่ต้องจัด เตรียมอุปกรณ์การเรียนและเสื้อผ้า ชุดนักเรียนไปโรงเรียนเอง เมื่อเกิดปัญหาเช่น หาไม้บรรทัดหรือหาเข็มขัดลูกเสือไม่เจอ จะทำอย่างไร เด็กจะเรียนรู้การขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เรียนรู้การวางแผนล่วงหน้าเพื่อวางของให้ค้นหาง่ายจะได้ไม่เกิดปัญหาในครั้งต่อๆไป ซึ่งต่างจากเด็กที่มีคนหาอุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า เตรียมไว้ให้หมดทุกอย่าง อาจไม่เคยพบปัญหาเลยหรือเมื่อเกิดปัญหาก็ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพราะมีคนคอยแก้ไขให้หมดแล้ว

 

ฝึกความรับผิดชอบ

ตัวอย่างจริงของเด็กอายุ3 ขวบ สองคน ซึ่งได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ต่างกัน เด็กคนแรกอยู่ที่บ้านพ่อแม่สอนให้รู้จักกฏเกณฑ์ ระเบียบ วินัย ฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองตามวัย รู้จักใส่เสื้อผ้าเอง อาบน้ำเอง กินข้าวเอง เก็บของเล่นเอง ตรงกันข้ามกับเด็กอีกคนหนึ่งที่บ้านทุกคนตามใจหมด อยากได้อะไรต้องได้ ทุกคนต้องยอมตาม พ่อแม่ไม่เคยฝึกให้ช่วยเหลือตัวเอง อาจ3ขวบ แล้วยังต้องป้อนข้าวให้ แค่พูดว่า " จะกินน้ำ " น้ำก็มา ( คือมีคนรีบเอาแก้วน้ำมาให้) ไม่เคยอาบน้ำ แต่งตัวเอง ทั้งทั้งที่จริงทำได้ เวลาแต่งตัวเพียงแค่ยกแขน ยกขา ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย เด็กสองคนนี้ทันทีที่เข้าโรงเรียนอนุบาลวันแรกก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างง่ายๆ เช่นหลังตื่นนอนกลางวัน ที่โรงเรียนเด็กคนแรกลุกขึ้นมา ก็พับเก็บผ้าห่ม หมอน และที่นอน โดยคุณครูไม่ต้องบอก เพราะที่บ้านเขาทำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เมื่อพับเก็บของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีเวลาเหลือพอไปช่วยพับเก็บของเพื่อนอีก คุณครูเห็นว่ารับผิดชอบดีแบบนี้ก็อดชมเสียไม่ได้ เด็กคนนี้ เมื่อได้รับคำชม ก็เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ( Self esteem ) ซึ่งมีค่ามากต่อเด็ก ก็จะมีพฤติกรรมดีต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหันมามองเด็กอีกคนที่พ่อแม่ไม่ได้ฝึกอบรมมา ท่านผู้อ่านคงเดาภาพออกว่าจะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เขาไม่เก็บ ไม่ทำ อะไรทั้งสิ้น เพราะที่บ้านมีคนทำให้ตลอด ( ทำไมต้องทำเอง ) เด็กที่ฝึกการช่วยเหลือตัวเองมาดี เมื่อเติบโตขึ้นก็ย่อมจะมีความรับผิดชอบต่อตนเองและรับผิดชอบต่อหน้าที่ดีตามมาครับ

 

พร้อมรับการเรียนรู้ได้ดีกว่า

คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตดูเด็กที่ได้รับการฝึกช่วยเหลือตัวเองมาดี เวลาจะฝึก จะสอนอะไร เช่นฝึกเขียน อ่าน สอนว่ายน้ำ ก็มักจะพร้อมรับการเรียนรู้ได้ดีกว่าครับ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับเด็กที่ไม่ได้รับการฝึกช่วยเหลือตัวเอง มักจะทำเฉพาะที่ตัวเองอยากทำ ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ทำ ไม่อยากเรียนก็ไม่เรียน (มีอะไรไหม) จึงไม่ค่อยมีความพร้อมในการรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากพ่อแม่และคุณครู

 

ลูกแต่ละวัยควรฝึกอะไรดี

การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองต้องดูพัฒนาการตามวัยของเด็กด้วยครับ

- ลูกน้อยอายุ1-2ขวบ ควรฝึกง่ายๆ เช่นให้จับช้อนกินข้าวเอง หกบ้าง ตกบ้างก็ไม่เป็นไร เดินเอง ไม่ควรอุ้มโดยไม่จำเป็น เริ่มฝึกถอดรองเท้าแตะง่ายๆ ช่วยเก็บของเล่นลงตระกร้า

- ลูกวัยอนุบาล ควรค่อยๆเริ่มจากการถอดเสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า ( เพราะการถอดง่ายกว่าการใส่ครับ ) แล้วก็เริ่มหัดใส่เสื้อผ้าเช่นเสื้อยืดคอกลม ซึ่งตามพัฒนาการ เด็กจะเริ่มทำได้เมื่ออายุประมาณ 3 ปี ผมแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มฝึกลูกโดยทำเป็นขั้นตอน เช่นการใส่เสื้อยืดคอกลมนั้นแบ่งเป็นขั้นตอนย่อยๆดังนี้ ตอนแรกก็ให้ใส่ให้เขาเกือบหมด เหลือขั้นตอนสุดท้ายให้เขาเช่นให้ดึงชายเสื้อลงเอง หลังจากนั้นค่อยๆถอนการช่วยเหลือออก โดยเอาเสื้อสวมหัวให้แล้วให้เขาเอาแขนสอดเข้าไปในช่องแขนเสื้อเอง ขั้นตอนต่อไปก็ให้หัดจับพับเสื้อแล้วสวมหัวเอง สุดท้ายก็หัดให้ลูกดูเสื้อยืดว่าหน้า-หลังเป็นอย่างไร แล้วสุดท้ายก็ทำได้เองหมดทุกขั้นตอน ทำแบบนี้ลูกก็จะไม่เครียด แล้วยังรู้สึกสนุก และภูมิใจที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเองอีกด้วยครับ ฝึกอาบน้ำเองโดยให้เขาทำเองก่อน ตรงไหนไม่สะอาดหรือทำยังไม่สะดวก ( เช่นล้างก้น สระผม) พ่อแม่ค่อยตามเก็บทำให้ตอนสุดท้าย ต่อไปก็ฝึกแต่งตัวเอง กลัดกระดุม ผูกเชือกรองเท้าเอง โตขึ้นมาหน่อยก็ฝึกให้พับเก็บผ้าห่ม หมอน และที่นอน ฝึกให้เก็บของเล่น เก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้วลงตระกร้า กินข้าวแล้วก็ควรฝึกให้ช่วยเก็บจาน ถ้วยน้ำไปวางที่ซิงค์น้ำครับ อาจช่วยเขี่ยเศษอาหารลงถังขยะ ยังไม่ต้องล้างเองก็ได้ เดี๋ยวจานชามจะตกแตก ให้คนงานที่บ้านหรือคุณพ่อคุณแม่ล้างต่อไป วัยอนุบาลนี้จะเป็นรากฐานของการฝึกการช่วยเหลือตัวเองในวัยต่อๆไปครับ

-ลูกวัยประถม ควรให้รับผิดชอบมากขึ้น เช่น เตรียมเสื้อผ้า ชุดนักเรียนไปโรงเรียนเอง จัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนสมุด หนังสือเอง ตามตารางสอนหรือตามที่คุณครูสั่ง ซักเสื้อผ้าบางชิ้นที่เป็นส่วนตัว เช่นชุดว่ายน้ำ เด็กประถมปลายบางคนอาจเริ่มฝึกให้ซักกางเกงใน ถุงเท้าเอง อาจให้ช่วยงานบ้าน เช่นกรอกน้ำใส่ขวด กวาดบ้าน ล้างจาน ช่วยรดน้ำต้นไม้ ช่วยแม่ทำอาหาร

- ลูกวัยรุ่น ถ้าฝึกมาดีตลอด เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองได้ดีในทุกเรื่องที่กล่าวมาแล้ว ที่เพิ่มเติมก็คือวัยรุ่นมักเริ่มมีห้องนอนส่วนตัวแล้ว ก็ฝึกให้ดูแลห้องของตัวเอง จัดห้องเอง เก็บหนังสือ แผ่นซีดีเข้าที่ ให้เรียบร้อย หรือช่วยทำความสะอาดบ้าน ช่วยล้างรถ

 

วิธีการฝึก

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกฝึกช่วยเหลือตัวเองอาจใช้การปรับพฤติกรรมเด็กด้วยการให้คำชมหรือรางวัล ผ่านใบดาว ( Star charts ) ซึ่งเป็นการให้รางวัลอย่างเป็นระบบครับ เช่นตกลงกับลูกว่ามีพฤติกรรมดีอะไรบ้างที่พ่อแม่ต้องการ เช่น เดินเองไม่ต้องอุ้ม กินข้าวเองไม่ต้องป้อน ใส่เสื้อผ้าเองหรือเก็บของเล่นเอง โดยขั้นแรกเลือกเพียง 1-2 พฤติกรรมที่สำคัญๆก่อน วันไหนลูกยอมช่วยเหลือตัวเองพ่อแม่ควรรีบชม และแสดงความตื่นเต้น ดีใจ และให้ดาว โดยอาจให้เด็กระบายสีหรือติดสติ๊กเกอร์ที่แผ่นใบดาว ตามวัน พร้อมกับพูดชม เช่น " เก่งมาก แม่ดีใจมาก พรุ่งนี้เอาดาวอีกนะ" ถ้าวันไหนไม่ยอมช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ดุว่า แต่อาจพูดว่า " เสียดายนะที่วันนี้หนูไม่ได้ดาว พรุ่งนี้ลองใหม่นะ " ตกลงกับลูกว่าถ้าได้ 2 ดาวใน 1 สัปดาห์ เสาร์-อาทิตย์อยากได้อะไร พ่อแม่จะให้เป็นรางวัล โดยให้เด็กเลือกเอง เช่น ของเล่น ตุ๊กตา หุ่นยนต์ที่อยากได้ ของกินที่ชอบ หรือให้พาไปเที่ยวก็ได้ พอสัปดาห์แรกทำได้ สัปดาห์ต่อไปเราก็เพิ่มเป็น 3 ดาว หรือ 5 ดาว จนกระทั่งลูกมีพฤติกรรมดีเกิดขึ้นคือช่วยเหลือตัวเองได้ทุกวัน ใบดาวจะได้ผลดีมากโดยเฉพาะในเด็กอนุบาล แต่มีเงื่อนไขว่าพ่อแม่จะต้องให้ความสนใจกับพฤติกรรมและใบดาวมากๆนะครับ เช่นพอพ่อกลับมาถึงบ้านตอนเย็นก็ให้รีบทักถามเรื่องใบดาวก่อนอื่นเช่น " เอ.. วันนี้ลูกได้ดาวรึเปล่า..นะ ไหนขอดูหน่อย " เด็กจะรู้สึกว่าพฤติกรรมนี้พ่อแม่ให้ความสำคัญและมีความหมายกับเขามาก ต่อไปเมื่อช่วยเหลือตัวเองดีขึ้นแล้ว ก็ค่อยๆเปลี่ยนจากของรางวัลเป็นคำชมแทน และอาจไปทำใบดาวกับพฤติกรรมอื่นๆที่ต้องการต่อไป อย่าลืมที่จะชมทุกครั้งและทุกวันที่ลูกมีพฤติกรรมดีนะครับ

 

ปัญหาไม่ได้อยู่แค่วันนี้

เรื่องของการฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองมีผลต่อเนื่องเมื่อลูกโตขึ้น ตัวอย่างเช่นถ้าวันนี้เราไม่ฝึกให้เขาเก็บของเล่นเอง พับผ้าห่มเอง วันหน้าเมื่อเขาโตเป็นวัยรุ่น พ่อแม่ก็จะต้องมาช่วยเก็บทุกสิ่ง ทุกอย่างในห้องส่วนตัวเขา ซึ่งจะรกมากเช่น ผ้าเช็ดตัว ใช้เสร็จตรงไหนก็วางตรงนั้น ต้องมาคอยจัดที่นอน พับผ้าห่ม เก็บกองหนังสือให้เขาตลอดไป ดังตัวอย่างในตอนต้น

 

ผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่คงเห็นด้วยกับหลักการและเหตุผลของการฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองนะครับ เมื่อเห็นประโยชน์และผลดีมากมายที่จะเกิดมีกับลูกแบบนี้แล้ว เรามาฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองกันตั้งแต่วันนี้กันเถิดครับ

 

 

หมายเลขบันทึก: 183916เขียนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2008 15:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 22:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เป็นความรู้ที่มีประโยน์มาก ต่อ พ่อแม่ ดิฉันมีประสพการณ์ตรง การเลี่ยงดูลูกที่ไม่ถูกต้อง ดิแนน่าจะได้อ่านบทความของคุณหมอก่อนหน้านี้ ขอคุณที่มีความรู้ดีๆให้ศึกษา

คุณหมอรักษาที่รพ.ไหนคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท