ลูกผมแค่แตกต่าง


มีมุมมองความประทับใจ ในชีวิตของคุณพ่อคนหนึ่ง ที่มองเห็นลูกของตัวเอง ในวันแรกของชีวิต ท่ามกลางความท้อแท้ โศกเศร้า เสียใจ จนกระทั่งแปรแต่ละสิ่งอย่างของอารมณ์ความรู้สึก มาสู่การเริ่มต้น ในคำที่เขาอธิบายสิ่งที่กำลังกระทำ และสิ่งที่ทำผ่านมาในสายตาของเขา ว่าเป็นการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ท่ามกลางคำตอบของทุกคืนวัน ทุกเสียงหัวเราะและการหยอกล้อที่เขามอบให้กับลูกคนเล็ก ในรอยยิ้มและคราบน้ำตา มีคำพูดบางอย่างที่เรามองชีวิตในแง่งามได้ด้วยการอมยิ้ม จนอดปลาบปลื้มไม่ได้ในแต่ละมุมคิดของชีวิตชายคนนี้

ลูกผมแค่แตกต่าง

อ้างอิง - ภาพ http://smcharity.multiply.com/

ผมรู้จักเขามาหลายปี

รู้จักเหมือนเช่นคนดูโทรทัศน์ทั่วไป

บางครั้งอาจรู้สึกประหลาดใจในท่าทางหน้าตา

และวิธีการพูดการจา จนกระทั่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ ถึงความผสมผสานชีวิต ระหว่างความเป็นคนจีน คนมาเลย์ คนอเมริกา และความที่เขาเป็นคนไทย และรักเมืองไทย เมื่อได้รู้ว่าเขาอธิบายวัฒนธรรมแบบฮกเกี้ยน ที่ผสมกลมกลืนแบบชาวภูเก็ต ปีนัง และวัฒนธรรมอาหารได้อย่างงดงามน่าสนใจ ด้านหนึ่งผมว่าเขาเป็นคนมีพลังในชีวิต และเป็นคนแปลก

กระทั่งได้มีโอกาสฟังเรื่องราวในชีวิต

ท่ามกลางความจริงอันเจ็บปวด

เขาเล่าเรื่องราวถึงลูก

ในรายการจับเข่าคุย ของคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา แทบจะทุกประโยคของการพูดคุยที่คุณวอเตอร์ ลี อธิบายชีวิตและสิ่งที่เห็น แทบทุกครั้งมีน้ำตาที่คลอหน่วงอยู่ในดวงตา เขาพูดประโยคงดงามของชีวิตหลายคำ ซึ่งแทบจะอธิบายอะไรไม่ได้เลย หากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ถูกกระทำ

แต่เพราะเขาทำ

และสู้ในสิ่งที่เขาพูดถึง

ผมชอบที่เขาพูดถึงลูกของเขา

ด้วยความรักความผูกพัน ท่ามกลางบรรยากาศวันแรกที่เห็นลูก พร้อมเสียงพูดของคุณหมอเจ้าของไข้ในห้องคลอด ซึ่งถูกกลบด้วยประโยคที่สร้างความเงียบงันขึ้นมา ว่าสงสัยจะ Ab - Normal เขาพูดเพียงว่า ช่วงเวลานั้นเข้าใจความหมายของคำว่า เงียบผีหลอก ว่าเป็นอย่างไร ในเวลาที่ทุกอย่างดูสนุกสนาน และเข้าที่เข้าทาง จนกระทั่งมีประโยคนั้นเกิดขึ้น

เราเป็นมนุษย์ปกติ เรามีความคาดหวัง

ทำไมผมจะไม่รู้สึกกับสิ่งเหล่านี้

ไม่แปลกที่เราจะเศร้า

วอเตอร์ ลี อธิบายความรู้สึกหลังจากรับรู้ว่า น้องทราย เกิดมาพร้อมขาและแขนที่ไม่ปกติ เขาเริ่มต้นความรู้สึกในท่ามกลางความว่างเปล่า เมื่อมองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น เขาอยากร้องไห้ ผิดหวัง และเศร้า กับความรู้สึกเบื้องหน้า เหมือนเช่นที่อยากเดินไปตะโกนดังดังในห้อง

หลังฟังคำอธิบาย

และการสรุปรายละเอียดของลูก

เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นสั้นที่เขาคิดว่าต้องตั้งสติ

จนเข้มแข็งให้ได้ เพราะคิดว่าต้องมีใครสักคนเข้มแข็ง ในขณะที่ภรรยาของตัวเอง ขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดเพียงว่า บ้าน่า เขาไม่ใช่ลูกของคุณ เขาเป็นลูกของเรา ไม่มีอะไรหรอกเขาเป็นลูกเรา ไม่ใช่ความผิดของคุณ ขณะที่ฟังแต่ละคำ ผมคิดเพียงว่า ช่างเป็นประโยคที่หมดจด

ในท่ามกลางคำถามว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

พร้อมความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

กับลูกคนโตสองคน

และลูกคนเล็กที่ไม่ปกติ เขาตอบเพียงว่า เขากำลังสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในเวลาเดียวกับของความอ่อนแอ ผิดหวัง ท้อแท้ เขาคุกเข่าลงกราบไหว้ท้าวมหาพรหม ถนนราชดำริ เพื่อร้องขอให้มีสติ ให้ชีวิตตั้งสติให้ได้ เพื่อคิดในสิ่งที่ถูกต้อง และทำในสิ่งที่ถูกต้องของชีวิต

 

 

เขาแค่ตอบว่า

เป็นช่วงเวลาอันยากลำบาก

สำหรับสิ่งที่คุณเคยทำและยากที่สุดในชีวิต

เขาร้องขอเพียงสติให้กับชีวิต เพื่อเลือกหนทางอันถูกต้อง วันนั้นเขาเริ่มต้นบอกตัวเอง บอกภรรยา และผู้คนรอบข้างชีวิตเขาทั้งหมดว่า ลูกของเขาไม่ได้พิการ เขาแค่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เขาจะทำให้ลูกเชื่อมั่น และเติบโตขึ้นมาให้ได้ พร้อมสิ่งที่ลูกจะมั่นใจ ว่าเขาต้องอยู่ให้ได้ท่ามกลางความยากลำบาก และเขาต้องอยู่ให้ได้ในท่ามกลางสายตาผู้คน

วันนั้นเขาอธิบายว่าก่อนที่จะบอกคนอื่นให้เข้าใจ

เขาต้องบอกตัวเองก่อนถึงสิ่งเหล่านี้

เขาต้องจัดการศึกษาตัวเอง

เริ่มต้นและบอกตัวเองให้ได้ ว่าง่ายดายเกินไปสำหรับลูกของเขา ที่จะนั่งรถเข็นตลอดชีวิต แต่เพราะเขาอยากให้ลูกมีชีวิตที่ปกติ เขาจึงอยากให้ลูกยิ้มได้ ยืนได้ เดินได้ และวิ่งได้ สิ่งสำคัญในวันนั้น คือคำว่า เราต้องสร้างโอกาสที่เท่าเทียม ให้กับคนที่ด้อยโอกาสตั้งแต่วันแรกของชีวิต

เขาบอกแค่ว่า

ไม่ได้คิดว่าง่ายง่าย

แต่เราต้องคิดยากและคิดมาก

สำหรับการเริ่มต้นอย่างไร ในท่ามกลางความยากลำบาก เพื่อถามหาวิธีการ หนทาง ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เพื่อให้ลูกของเขาเดินได้ วันนั้นในท่ามกลางความทุกข์ยากของชีวิต เขาตอบเพียงว่า ต่อให้เราร้องไห้ให้ตายยังไง ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ต้องเริ่มต้นสำหรับสติ และการเริ่มต้นมองชีวิต ตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมการเริ่มต้น ในวันนั้นผมเชื่อว่า เขาร้องไห้

ไม่ต่างจากที่เขาอธิบายถึงภาพภรรยา

ว่าคุณนกร้องไห้ทุกวันทุกเวลา

เขาตอบคำถามสำคัญ

ว่าหากบอกว่าไม่ท้อ ก็คงเป็นเรื่องโกหก เขาท้อและอ่อนแอ ด้วยคำที่กระซิบอยู่ในใจตัวเองว่า ยังไม่ยอมแพ้ พร้อมสิ่งที่เชื่อเสมอว่า ทุกอย่างที่มีความเป็นไปได้ เขาจะทำและทำให้ลูกของเขา สำหรับสิ่งที่ไม่มีมาก่อน ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต นับเป็นเรื่องราวที่ยากลำบากอย่างยิ่ง

เมื่อหมอแต่ละคน

พูดอธิบายถึงสิ่งที่ไม่มีมาก่อน

ในคำตอบว่าลูกจะลุกยืน เดิน และก้าวขาอย่างไร

คุณจะต้องคิดถึงสิ่งที่คุณไม่เคยมีมาก่อน เพื่อสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา นั่นคือความยากลำบากสำหรับคนที่ไม่มีแขนไม่มีขา แต่ต้องลุกยืนลุกเดินให้ได้ วันนั้นสำหรับความยากลำบาก คงไม่มีใครตอบคำถามแทนพ่อแม่คู่นี้ ในแต่ละวันคืนของชีวิตอันเจ็บปวด และรอยยิ้มในรายการ

สำหรับความสนุกหน้าจอโทรทัศน์

เมื่อเห็นเขาบรรยายถึงสินค้า

ถึงปูอัดคานิของเขา

วันนั้นผมแค่รู้สึกถึงพลังของชายเอเชียหัวล้านใส่แว่น เป็นเชฟที่ดูมีความสุข และมีพลังกับชีวิต แต่สำหรับวันนี้ เมื่อผมฟังคำตอบในความเป็นพ่อคน ในหัวใจของเขา ที่พูดถึงลูกของตัวเอง ในท่ามกลางจุดเริ่มต้นและก้าวย่างที่ต้องเดินต่อไป ผมรู้สึกยินดีในแต่ละคำตอบของ วอเตอร์ ลี เมื่อเขาตอบสิ่งที่คิดว่าสำคัญที่สุดของลูก ในวันนั้นและวันนี้ว่า

หัวใจสำคัญ

คือจะยืนได้อย่างไร

เมื่อยืนได้ ก็เดินได้วิ่งได้ เมื่อวิ่งได้ ก็มีชีวิตเช่นคนปกติ

และเขาจะมีชีวิตอย่างปกติ เพราะเขาไม่ใช่คนพิการ

เขาแค่เกิดมาแตกต่างจากคนทั่วไป

 

 

หมายเหตุ : ภาพถ่ายนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์ และร่วมกันสร้างสรรค์ เพื่อสร้างชุมชนแห่งไมตรีจิต รวบรวมความช่วยเหลือ และน้ำใจไมตรี ในการสนับสนุนการทำงานของวัดพระบาทน้ำพุ หากสนใจ ภาพถ่าย ภาพโปสการ์ต

 

สามารถติดต่อ ได้ที่ http://smcharity.multiply.com/

 

หมายเลขบันทึก: 183668เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2008 16:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท