มหาวิทยาลัยวิจัยที่แท้จริงจะมีการ “จัดองค์กร” (Organization) ในรูปแบบที่แตกต่างหลากหลายกัน เป็น “การจัดองค์กร” เพื่อทำงานวิจัยตอบคำถามใหญ่ และทำงานยาวนาน นำโดยนักวิจัยระดับยอด มีการรวมตัวกันของกลุ่มนักวิจัยที่มีความสามารถ และมีความทุ่มเท มีหน่วยงานให้ทุนสนับสนุนการวิจัยภายนอกให้ทุนแบบต่อเนื่อง โดยที่ทุนวิจัยมักจะมาจากหลายแหล่งทุน
“โครงการวิจัยขนาดใหญ่” เช่นนี้ จะต้องมีคน ๓ จำพวก ทำงาน
๑. นักวิจัยชั้นยอด
๒. ผู้ช่วยวิจัย และนักศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ระดับบัณฑิตศึกษา
๓. เจ้าหน้าที่ธุรการ
ในสภาพปัจจุบัน คนกลุ่มที่ ๑ เป็น “พลเมือง” (citizen) ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ครบถ้วนของมหาวิทยาลัย เพราะมักเป็นอาจารย์ของคณะ ภาควิชา แต่คนในกลุ่มที่ ๒ และ ๓ มักมีปัญหาในเรื่อง citizenship ของมหาวิทยาลัย มักโดนจัดเป็น “คนไร้สัญชาติ” ของมหาวิทยาลัย คือ “ไม่มีบัตร ไม่มีสิทธิ์” ไม่เป็น “พลเมือง” ตามความคิดแบบยึดมั่นกับระเบียบราชการ ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือ โครงการวิจัยเหล่านี้จะมี turn over ของเจ้าหน้าที่กลุ่มที่ ๒ และ ๓ สูงมาก ทำให้โครงการวิจัยเข้มแข็งได้ยาก
ในสภาพของ “มหาวิทยาลัยวิจัย” สภาพปัญหา “สัญชาติ” ของเจ้าหน้าที่เช่นนี้จะต้องหมดไป เพราะมหาวิทยาลัยระดับยอดในอนาคตจะมีแหล่งทุนมาจากหลากหลายแหล่ง คนเก่ง ที่ได้รับการยอมรับสูงต้องช่วยกันหาทุนมาทำงานสร้างสรรค์วิชาการ มีการสร้างองค์กร/โครงการ ขึ้นรองรับงานสร้างสรรค์ ที่แม้จะไม่ใช่หน่วยงานถาวรแบบราชการ แต่ก็ต้องการการทำงานระยะยาว ๑๐ – ๒๐ ปี หรือหนึ่งชั่วคน จึงต้องมีระบบบริหารงานบุคคลในแนวคิดใหม่ ไม่ใช้แนวคิดราชการ
ในมหาวิทยาลัยวิจัย เจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถต้องได้รับ citizenship โดยในบางกรณีอาจให้ชั่วคราว ๑ – ๒ ปี ตามสัญญาจ้างงาน แต่ต้องให้เกียรติให้ศักดิ์ศรีแก่คน จึงจะได้คนเก่ง มีความสามารถ และมีใจรักทุ่ทเทต่องาน มาทำงานร่วมสร้างสรรค์
ประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว สมัยผมทำหน้าที่คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มอ. ผมได้ “ออกกฎหมายให้สัญชาติ” แก่เจ้าหน้าที่ของโครงการวิจัย ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยออกเป็นมติของคณะกรรมการประจำคณะ ให้สิทธิต่างๆ แก่เจ้าหน้าที่ที่จ้างโดยทุนโครงการวิจัยตามที่ประกาศ สิทธิที่ให้ได้แก่สิทธิในการใช้ห้องสมุด ในการรับสวัสดิการต่างๆ ตามที่กำหนด โดยประกาศระบุชัดเจน ว่าถือว่าคนเหล่านั้นเป็นสมาชิกของคณะแพทยศาสตร์ คนเหล่านี้จะค่อยๆ กลมกลืนเข้ากับประชาคมของคณะ จนไม่มีใครสนใจว่าเป็นข้าราชการหรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ ๑๐๐% คงจะแก้ได้เพียง ๗๐ – ๘๐% เพราะยังมีคนลาออกไปบรรจุเป็นข้าราชการที่อื่น เพราะในสมัยนั้นความเป็นข้าราชการให้ความรู้สึกมีเกียรติ และสวัสดิการดีมาก
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ต้องการพัฒนาไปเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย น่าจะต้องมี KPI ภายในของมหาวิทยาลัย ใช้ประเด็น “citizenship” ของพนักงานหลากหลายแบบ เป็นตัวบ่งชี้ (ทางอ้อม) อย่างหนึ่งของความเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย
ในบันทึกนี้ผมใช้ศัพท์ที่เรียนมาจากอาจารย์แหววครับ
วิจารณ์ พานิช
๒๙ เม.ย. ๕๑
ไม่มีความเห็น