เมื่อข้อมูลบ่งชี้ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ
นักเรียนชั้น ม.3
ปีการศึกษา 2550 โดยภาพรวมพบว่า
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนลดลงจากปีการศึกษา
2549
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
ต่ำลงไปอย่างน่าใจหาย
จึงถือเป็นปัญหาความต้องการจำเป็น(NA)เร่งด่วนที่ต้องแก้ไขเรื่องหนึ่งของคนในวงการศึกษา
สาเหตุของปัญหาคืออะไร?
ทีมงานเล็กๆของเราลองนำปัญหานี้มาวิเคราะห์
ก็พบว่า ที่จริงปีนี้เราตระหนักเรื่องนี้กันมาก แต่ละ
สพท.พยายามกวดขันกันอย่างมาก
หากลวิธีต่างๆมากระตุ้นให้โรงเรียนเตรียมความพร้อมกันก่อนสอบ
จะบอกว่าข้อสอบยากเกินไป ออกไม่ตรงหลักสูตร
ก็คงไม่ใช่
เพราะกว่าจะนำข้อสอบออกมาใช้
เขาได้มีการวิเคราะห์ความยากง่าย ความตรงกับหลักสูตรมาอย่างดีแล้ว
โดยเฉพาะทั้งสองวิชานี้มีหน่วยงาน/องค์กรสนับสนุนส่งเสริมการสอน
ที่อาจจะพูดได้ว่ามากกว่ากลุ่มสาระอื่นๆด้วยซ้ำ สาเหตุจึงน่าจะเป็นปัจจัยภายในของเรามากกว่า
กล่าวคือ
1.ข้อสอบออกในเชิงคิดวิเคราะห์มาก
แต่เราไม่ได้สอนที่เน้นเรื่องนี้หรือไม่
2.ขาดสิ่งจูงใจให้นักเรียนเอาจริงเอาจังและตั้งใจที่จะทำข้อสอบจริงๆหรือไม่
3.พื้นฐานความรู้ของครูผู้สอนตามกลุ่มสาระด้อยไปหรือไม่
และตั้งใจที่จะกวดขันเพียงใด
4.พื้นฐานความรู้ของนักเรียนอ่อนด้อยไปหรือไม่
5.สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขาดความเอาจริงเอาจังเรื่องนี้หรือไม่
ฯลฯ
พอเรามาวิเคราะห์ในวิชาภาษาอังกฤษที่จังหวัดนนทบุรี
ซึ่ง
อบจ.สนับสนุนจ้างครูต่างประเทศเป็นจำนวนมากมาช่วยสอนทุกโรงเรียน
ก็พบความจริงอย่างหนึ่งว่า
โรงเรียนมอบชั่วโมงสอนให้ครูต่างชาติสอนเป็นจำนวนมาก ซึ่งเขาจะเน้นสอน การสนทนา
หรือฝึกพูด เป็นหลัก
แต่ข้อสอบเขาเน้น ไวยากรณ์ และความเข้าใจ เป็นต้น
ผมจึงคิดว่า
ผู้บริหาร ครู
และผู้ที่เกี่ยวข้อง
ควรจะได้นำปัญหานี้มาวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาที่แท้จริงและกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาที่ดีในปีการศึกษาใหม่นี้
ก็น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น โดยเฉพาะครูผู้สอนน่าจะนำตัวอย่างข้อสอบมาศึกษาแนวทางการออกข้อสอบ(ไม่ใช่วิเคราะห์ข้อสอบ
เพราะผู้ออกข้อสอบเขาวิเคราะห์มาแล้ว)
ว่ามีแนวโน้มในการออกอย่างไร เช่น เน้นคิดวิเคราะห์ เน้นไวยากรณ์ ความเข้าใจ ฯลฯ
แล้วมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันว่าที่ผ่านมาเราสอนกันอย่างไร และถ้าจะสอนให้ตรงจะสอนกันอย่างไร
เพื่อนำไปปรับวิธีสอนของตน เป็นต้น
และถ้าหากเราจะคิดปัญหาให้เป็นโอกาส
ก็อาจมองว่าสถานการณ์ผลสัมฤทธิ์ตกต่ำปีนี้อาจจะเป็นเป็นสภาพปัจจุบันที่ท้าทายให้เราคิดกลวิธีการสอนให้เกิดมูลค่าเพิ่มในปีการศึกษา
2551 ที่เห็นเด่นชัดขึ้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเลื่อนวิทยฐานะตามแนวทางใหม่ที่จะใช้ใน
1 ตุลาคม 2551 ก็ได้
ตอนประชุมกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนเทพศิรินทร์เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว
เราได้เอาเรื่องนี้มาถกกัน
ว่าโรงเรียนทำอย่างไรจึงทำให้ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชาติปีนี้ขึ้นมาเป็นอันดับ
2 ของโรงเรียนใน กทม. ก็พบว่า
โรงเรียนได้กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกนักเรียน ม.3
ของโรงเรียน เข้าเรียนต่อ ชั้น ม.4 ของโรงเรียนว่า
จะดูที่ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติ ชั้น ม.3
เป็นเกณฑ์พิจารณา
พอประกาศไปเช่นนี้
ทุกคนก็เอาจริงเอาจังกันหมด
เห็นหรือยังว่าการคิดเชิงกลยุทธ์มีผลต่อการพัฒนาให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้ทันตา...
หาคณะทำงานชุดใหม่ ควรจะเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในสถานศึกษาจริงๆๆและมากๆๆด้วย ควรหาวิธีการให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง กี่ปี กี่ครั้ง ก็ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียน ตกต่ำ ไม่เป็นที่พึ่งพอใจ ทำไมไม่ใช้ KM