(คำเตือน เป็นบทความที่มีความยาว)
ระหว่างบันทึกเรื่องเขาพระวิหารของผม
ก็สลับฉากเอาเรื่องเฮฮาศาสตร์ 4
มาแทรกก่อนเพราะต้องการอุ่นเครื่องครับ
พอดีไปพบบทความของท่านอาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม เกี่ยวกับเขาพระวิหาร
อดไม่ได้ที่จะเอามาฝากกัน เพราะมุมมองของท่านน้อยคนที่จะเอามากล่าวกัน
สำหรับบทความนี้ท่านถึงกับตั้งหัวเรื่องไว้ว่า
ระเบิดเวลาเรื่องเขาพระวิหาร ผมเองคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
พระวิหารกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงดังที่ทราบ
และเมื่อพี่น้องชายแดนใต้มีปัญหา
เราอาจจะช่วยโดยตรงไม่ได้ก็การศึกษาทำความเข้าใจก็มีส่วนช่วยให้เราเข้าถึงความเป็นจริงได้
มากกว่าจะนั่งเสพข่าวสารทางสื่ออย่างเดียวครับ
ทุกวันนี้ ตามเขตชายแดน
โดยเฉพาะระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาบนเทือกเขาพนมดงเร็ก
มีกับระเบิดที่ยังไม่ได้กู้อยู่อีกมาก พร้อมกับระเบิดเวลา
ที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้เสมอ
โดยเฉพาะเมื่อใดที่มีปัญหาเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ระเบิดเวลานี้
ตั้งขึ้นโดยมหาอำนาจนักล่าอาณานิคมที่เข้ามาเป็นใหญ่ในอินโดจีน
ที่นอกจากทำลายประเพณีการแบ่งดินแดนระหว่างแคว้นหรือระหว่างรัฐอันเป็นที่ยอมรับร่วมกัน
มาเป็นการขีดเส้นเขตแดน (border)
อย่างชนิดแยกสีอะไรเป็นสีของใครแล้ว
ยังสร้างความรู้ชุดใหม่ทางการเมืองการปกครองมาสนับสนุนอธิบายความชอบธรรมของการมีเขตแดน
และการมีความเป็นชาติที่แตกต่างไปจากเดิมด้วย
นั่นคือ แต่ก่อนๆ
บรรดาบ้านเมืองที่อยู่ร่วมกันในภูมิภาคพื้นแผ่นดินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้
แม้ว่าจะรู้ความแตกต่างระหว่างกันในด้านแว่นแคว้น
ขอบเขตอำนาจทางการเมือง และความแตกต่างระหว่างผู้คนทางชาติพันธุ์ก็ตาม
ก็หาได้เป็นเรื่องใหญ่โตชนิดคอขาดบาดตายในเรื่องเขตแดนและความแตกต่างของชนชาติไม่
โดยเฉพาะบริเวณชายเขตและชายขอบ
ที่มักกำหนดแบ่งดินแดนด้วยสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ (symbol)
ไม่ใช่สิ่งที่เป็นเครื่องหมาย (sign)
ที่เป็นรูปธรรม เช่น เส้นแบ่งเขตแดน (border)
การแบ่งดินแดนที่เป็นการปกครองของแว่นแคว้นหรือรัฐ
หรืออาณาจักร (kingdom)
ที่เป็นเรื่องของสัญลักษณ์ที่เป็นนามธรรมนั้น
เห็นได้จากการกำหนดสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง อาจเป็นภูเขา
ลักษณะภูมิประเทศที่มีความโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่ ป่า โค้งน้ำ
ทุ่งกว้าง
ที่ล้วนมีชื่อเฉพาะให้เป็นที่รับรู้ของผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา
แต่ที่สำคัญ
ตำแหน่งที่กำหนดให้เป็นสัญลักษณ์นั้นมักสัมพันธ์กับอำนาจเหนือธรรมชาติ
อันเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์หรือแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงเกรงกลัว
และทำการสักการะ
สิ่งเหล่านี้เห็นได้จากการแยกดินแดนกัมพูชาที่เรียกว่าเขมรต่ำ
ออกจากที่ราบสูงโคราช อันรู้จักกันในนามเขมรสูง
คำว่า
“เขมร”
ในที่นี้หมายถึงชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์กันทางภาษา
เช่นที่เรียกว่ามอญ เขมร และมาเลย์ เป็นต้น
หาใช่เรื่องของคนที่อยู่ในดินแดนการปกครองของรัฐหรืออาณาจักรไม่
เทือกเขาพนมดงเร็กที่แยกดินแดนที่ราบสูงออกจากที่ราบต่ำนั้น
นับเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติมาแต่โบราณ
ซึ่งผู้คนที่ผ่านขึ้นลงตามช่องเขาได้กำหนดสัญลักษณ์การแบ่งเขตด้วยตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่สถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ
ที่คนไทยคนลาวเรียกว่า “ผีต้นน้ำ”
โดยจะมีการสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้คนได้ประกอบพิธีกรรมและสักการะ
หลังการเปลี่ยนผ่านจากดินแดนหนึ่งไปยังอีกดินแดนหนึ่ง
เหตุนี้
บนเทือกเขานี้จึงมีตำแหน่งที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนแต่ละยุคแต่ละสมัยสืบเนื่องกันเรื่อยมา
เช่น ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ก็กำหนดจากบริเวณเพิงผา หน้าผา
หน้าถ้ำ ที่ผู้คนแลเห็นโดดเด่น
และมีพื้นที่พอให้มาชุมนุมทำพิธีกรรมร่วมกันได้
เหตุนี้จึงมีการเขียนภาพสัญลักษณ์ที่เป็นมงคล เช่น ภาพมือแดง ภาพคน
สัตว์ และพืช ให้เห็นเป็นปรากฏการณ์
แต่นักวิชาการส่วนใหญ่กลับให้ความสำคัญแก่ภาพเหล่านี้ในฐานะที่เป็นงานศิลปะ
โดยเน้นศึกษาไปในทางที่เกี่ยวกับศิลปะเป็นสำคัญ
พอมาถึงสมัยประวัติศาสตร์ เช่น สมัยทวารวดี ลพบุรี และสมัยต่อๆ
มา ก็มีการสร้างพระเจดีย์ รอยพระพุทธบาท ศาลเทพเจ้า และรูปเคารพขึ้น
อย่างเช่นบนเทือกเขาพนมดงเร็ก
ปรากฏมีปราสาทตามช่องเขาตอนผ่านสันปันน้ำหลายแห่ง เช่น ปราสาทพระวิหาร
ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทไบแบก
และจารึกของกษัตริย์จิตรเสนที่บริเวณต้นน้ำลำปลายมาศและนางรอง
เป็นต้น
บรรดาอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่ปัจจุบันเรียกว่า
“ผีต้นน้ำ” นี้แหละ
ที่คนโบราณเชื่อว่าเป็นเจ้าของที่ดินและธรรมชาติทุกสิ่งทุกแห่งจากต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ
และเป็นผู้ดูแลชีวิตของผู้คนที่อยู่ตามลุ่มน้ำนั้นๆ
เขาพระวิหารคือผาเขาที่ยื่นล้ำเข้าไปเหนือพื้นที่ราบต่ำ
แลเห็นโดดเด่นจนคนโบราณเชื่อว่าเป็นที่สถิตของผีต้นน้ำ
ผู้คนสมัยต่อมาเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าผู้ดูแลผู้คนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำในเขตที่ราบสูงโคราช
ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นบ้านเป็นเมือง ที่กษัตริย์กัมพูชา เช่น
พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ และสุริยวรมันที่ ๒ ต้องทรงกระทำการสักการะ
จึงมีการสร้างปราสาทมาอย่างต่อเนื่อง
การสร้างปราสาทหรือศาสนสถานใดๆ ก็ดี
หาได้เป็นการแสดงเจตนารมณ์เพื่อแสดงอำนาจทางการเมืองเหนือผู้คนในดินแดนนั้นๆ
ไม่ หากเป็นการสยบและให้เกียรติแก่อำนาจศักดิ์สิทธิ์
และการสร้างมิตรไมตรีกับผู้คนของดินแดนนั้นด้วย
อาจนับเป็นกริยาบุญของบุคคลที่ปรารถนาเป็นจักรพรรดิราช
อันเป็นเรื่องเฉพาะตนของพระมหากษัตริย์องค์นั้นๆ
มากกว่า
เพราะแท้จริงแล้ว บ้านเมืองและรัฐโบราณในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าเขมร ไทย
ลาว พม่า เวียดนาม บรรดารัฐใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นหาได้มีรัฐรวมศูนย์
(centralized
state) ที่มีโครงสร้างเป็นราชอาณาจักรแบบจักรภพอังกฤษ
หรือประเทศใหญ่ๆ ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ของยุโรปไม่
หากเป็นระบบมณฑล (mandala)
ตามประเพณีการปกครองของอินเดีย
คือเป็นเครือข่ายของรัฐใหญ่น้อยที่ให้ความสำคัญกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งจากรัฐใดรัฐหนึ่ง
ที่เป็นที่เคารพและยกย่องของกษัตริย์ทั้งหลายให้เป็นประมุข
ซึ่งอาจเรียกว่า “จักรพรรดิราช”
หรือ “ราชาธิราช”
ก็ได้
ในความเป็นจริงแล้ว
พระมหากษัตริย์ที่เป็ประมุขของมณฑลหรืออาณาจักรนั้น
มักทรงเป็นผู้ทำทานบารมี หรืออำนาจทางพระคุณมากกว่าพระเดช
และเป็นผู้มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติจากการแต่งงาน (กินดอง)
กับบรรดากษัตริย์ที่เป็นเจ้าแคว้นทั้งหลายในเครือข่ายของมณฑล
ฉะนั้น การเข้ามาบูรณะหรือสร้างปราสาทเขาพระวิหารนั้น
หาได้เป็นกิริยาของการแสดงอำนาจราชศักดิ์ในการปกครองของกัมพูชาเหนือที่ราบสูงโคราชไม่
โครงสร้างทางการเมืองและสังคมของแว่นแคว้นที่เป็นมณฑลเช่นนี้
คือสิ่งที่มหาอำนาจนักล่าดินแดนเจตนาที่จะไม่นำพา
มิหนำซ้ำยังนำเอาโครงสร้างการเมืองการปกครองแบบจักรภพของยุโรปเข้ามามอมเมาและครอบงำเจ้านาย
ขุนนาง ตลอดจนปัญญาชนไทย เขมร พม่า และอื่นๆ
ให้หลงใหลในความทันสมัยทันโลก
เท่ากับบิดเบือนความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม
การเมืองการปกครองที่ผู้คนในภูมิภาคนี้สัมพันธ์กันอย่างไม่เคยมีเส้นแบ่งเขตแดน
(border) และการเป็นชาติ (nation) แบบชาติไทย
ชาติเขมร ชาติลาว ชาติพม่า
ที่เกิดการขัดแย้งในทุกวันนี้
การเสียเขาพระวิหารอันเป็นของผู้คนในดินแดนเขมรสูง หรือที่ราบสูงโคราช
ตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น
ก็คือการรู้ไม่เท่าทัน
จนกระทั่งหลงตกอยู่ในหลุมพรางของชาติมหาอำนาจนี้
แถมยังกลายเป็นระเบิดเวลาให้ไทยต้องทะเลาะกับกัมพูชาอย่างไม่สิ้นสุดอีกด้วย
วันนี้เลยต้องฉวยโอกาสมาเสนอข้อคิดเห็นที่อาจเป็นประโยชน์แก่คนที่เป็นปัญญาชนได้ขบคิดและทบทวน
ดังนี้
เบื้องแรก
มหาอำนาจถ่อยๆ ชาตินั้นในเวลานั้น
เข้ามาทำการศึกษาความเป็นมาทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในภูมิภาคนี้
ทั้งด้านโบราณคดี (archaeological
past) และด้านชาติพันธุ์วรรณา (ethnographical present)
มาก่อนการแสดงอำนาจเข้าครอบงำและยึดครองดินแดน
ทางไทยต้องการหลีกเลี่ยงการยึดครองด้วยการพัฒนาความรู้และความเจริญแบบอารยประเทศตามแบบตะวันตกให้เป็นที่ยอมรับ
บุคคลชั้นนำของประเทศจึงคล้อยตามความรู้ ความคิดเห็น
และเทคนิควิชาการตามตะวันตกเพื่อความทันสมัย (westernized)
เลยทำให้เกิดวิชาประวัติศาสตร์โบราณคดีแบบประวัติศาสตร์ศิลปะ
ที่มหาอำนาจชาตินั้นขุดหลุมดักไว้
ความรู้ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแบบประวัติศาสตร์ศิลปะนี่แหละ
ที่ทำให้การสร้างประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของกัมพูชา (หรือเขมร)
กับสยาม (หรือไทย)
เป็นการปกครองแบบรัฐรวมศูนย์ (centralized state)
ตามแบบจักรภพอังกฤษ
หลุมพรางทางความคิดและทฤษฎีเช่นนี้ร้ายนัก
ตรงที่ทำให้ผู้นำทางปัญญาของไทยยอมรับว่า
การที่มีศาสนสถานวัตถุแบบศิลปะลพบุรีหรือศิลปะขอมในประเทศไทย
คือหลักฐานสำคัญที่แสดงว่ากัมพูชาสมัยเมืองพระนครเคยปกครองดินแดนสยามตั้งแต่ที่ราบสูงโคราช
มายังที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและภาคกลางมาก่อน
ซึ่งหมายความว่าบ้านเมืองไทยและคนไทยเคยเป็นขี้ข้าขอมมาก่อน
เบื้องต่อมา หลังจากการยอมรับรู้ในเรื่องแนวคิดทฤษฎีต่างๆ แล้ว
ก็มาถึงเรื่องเทคนิคที่มหาอำนาจชาตินั้นใช้เป็นระเบิดเวลาที่จะทำให้ชาติประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคต้องขัดแย้งกันอย่างสืบเนื่อง
นั่นก็คือการกำหนดเส้นเขตแดนแบ่งเขต (border)
อย่างเป็นรูปธรรม มีทั้งหลักเขต และการระบุเส้นรุ้ง
เส้นแวงไว้ในแผนที่
ทำให้แผนที่กลายเป็นทั้งหลักฐานและเครื่องมือที่สำคัญเพื่อใช้ตกลง
หรือยืนยันอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายที่ฝรั่งเป็นผู้สร้างขึ้น
เรื่องการกำหนดเขตแดนและทำแผนที่เช่นนี้ รัฐบาลไทยสมัย
ร.๕ – ร.๖ ก็อยากจะเรียนรู้ให้เท่ากับพวกฝรั่ง
เพราะมีการศึกษาอบรมสร้างผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญทางแผนที่ตามแบบฝรั่งกันอยู่
แต่ไม่ค่อยมีการออกไปปฏิบัติสร้างประสบการณ์และการริเริ่ม
ผลที่ตามมาก็คือ อาจรู้เท่าฝรั่งได้ แต่ไม่ทัน
เพราะในกรณีการกำหนดเขตแดนบนเทือกเขาพนมดงเร็ก
โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหารนั้น
ฝรั่งที่เป็นเจ้าของประเทศกัมพูชาสมัยนั้นกำหนดให้ใช้สันปันน้ำ
(watershed) เป็นเส้นแบ่งเขตแดนในปี ค.ศ. ๑๙๐๔
โดยขอให้ทางไทยส่งผู้แทนและเจ้าหน้าที่ไปร่วมสำรวจแบ่งเขตแดน
ซึ่งก็นับว่าเป็นธรรมดี
เพราะการใช้สันปันน้ำอันเป็นธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
แต่ทางไทยเองกลับประมาทและหละหลวม
ไม่ส่งผู้แทนและเจ้าหน้าที่ไปร่วมสำรวจ
ทำแผนที่
ปล่อยให้ฝรั่งเจ้าของประเทศกัมพูชาดำเนินการแต่ฝ่ายเดียว
ฝรั่งถ่อยโคตรโกงจึงกำหนดเอาบริเวณปราสาทพระวิหารเข้าไปอยู่ในประเทศกัมพูชา
ทั้งๆ ที่ขัดความเป็นจริงทางธรรมชาติของสันปันน้ำ
เพราะบริเวณปราสาทพระวิหารตั้งแต่ลาดเชิงเขาจนถึงส่วนยอดที่เรียกว่าเป้ยตาดีนั้นล้วนอยู่ในเขตประเทศไทย
ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองเอาน้ำราดลงบริเวณเป้ยตาดี
แล้วดูว่าน้ำนั้นจะไหลลงที่ลุ่มต่ำประเทศเขมร
หรือลงสู่ที่ราบสูงแอ่งโคราชของประเทศไทย
เมื่อฝรั่งทำแผนที่เสร็จ ก็นำมาให้ทางฝ่ายไทยดูใน ค.ศ. ๑๙๐๗
ทางไทยก็ไม่คัดค้าน
มิหนำซ้ำยังเซ็นรับรองความถูกต้องของแผนที่ชุดนี้เสียอีกด้วย
แผนที่คือหลักฐานเอกสารทางกฎหมายที่ใช้ในการตัดสินคดีความ
เมื่อทางไทยเซ็นรับรอง
ก็เท่ากับยอมรับว่าเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาในการครอบครองของฝรั่งชาติดังกล่าวนั้นนั่นเอง
แถมเมื่อมีการตัดสินคดีความในศาลโลก
ทางฝรั่งยังได้อ้างภาพถ่ายครั้งที่สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปร่วมถ่ายภาพกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายของตนบนเขาพระวิหาร
โดยที่มีธงชาติของตนปักอยู่เบื้องหลัง
เท่ากับเป็นการยอมรับโดยดุษณีย์อยู่แล้ว
แม้ว่าตอนนั้น
สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะทรงเป็นเพียงอดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยไปแล้วก็ตาม
แต่พระองค์ก็ยังทรงดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสภาอยู่
ซึ่งนับเป็นราชาในหมู่นักปราชญ์ราชบัณฑิตนั่นเอง
เมื่อพูดถึงปราชญ์ในช่วงเวลาของคดีเขาพระวิหารในตอนนั้น
ก็อยากจะขอเท้าความไปถึงความเห็นทางวิชาการของปราชญ์ทางประวัติศาสตร์โบราณคดีในครั้งนั้นว่า
มีการแสดงความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างปราชญ์สากลและปราชญ์ท้องถิ่น
ปราชญ์สากลของสกุลดำรงราชานุภาพยอมรับว่าปราสาทพระวิหารสร้างโดยพระมหากษัตริย์ขอมกัมพูชาตามที่ปรากฏในศิลาจารึก
แต่บอกว่าเป็นของสร้างเพื่อผู้คนในดินแดนที่ราบสูงโคราช
เพราะปราสาทเขาพระวิหารหันหน้าลงฝั่งไทยมากกว่าหันไปทางเมืองพระนครในประเทศกัมพูชา
<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
แต่ปราชญ์ธรรมดาที่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่นบอกว่า ในตำนานพื้นเมือง
กษัตริย์ของคนท้องถิ่นเป็นผู้สร้างขึ้น
และมีเจ้าพ่อเขาพระวิหารเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดูแล
แต่เผอิญตอนนั้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไม่เป็นที่รู้จักหรือยอมรับ
อีกทั้งถูกประณามว่าเชยและไร้สาระ เลยไม่มีผู้สนใจ
ในขณะที่การเน้นและสนใจประวัติศาสตร์สากลแบบที่ฝรั่งสอนให้จำและให้เชื่อนั้น
เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ประวัติศาสตร์รัฐ ประวัติศาสตร์ชาติ
เลยทำให้ความเป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริง
คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ
และวัฒนธรรมกลายเป็นภาพนิ่ง
คือหลงเชื่อไปว่าดินแดนเขาพระวิหารและภาคกลางของไทยเป็นดินแดนที่ขอมเคยมาปกครองอยู่จริงๆ
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้
ยังมีนักวิชาการชาตินิยมทางฝ่ายกัมพูชาอ้างบ่อยๆ
จากการพบศิลปะขอมและจารึกขอม ว่าถ้าพบ ณ ที่ใด
ก็ให้ถือว่าพื้นที่อันเป็นแหล่งที่มาของศิลปกรรมและจารึกนั้นเคยเป็นดินแดนของกัมพูชามาก่อน
ถ้ามีปราชญ์แบบขอม
go inter แบบนี้มากๆ และยังคงอยู่อีกนานละก็
ไม่ช้าคงมีคดีฟ้องกันในศาลโลกอีกว่า
ดินแดนสยามซึ่งปัจจุบันเรียกว่าไทยแลนด์นั้น
เคยเป็นของกษัตริย์วรมันแห่งกัมพูชาที่ย้อนหลังไปนับพันปี
ส่วนผู้ที่เข้ามาทีหลังคือพวกโจรสยามที่ไม่มีสิทธิอันชอบธรรมแต่อย่างใด
วิธีคิดแบบประวัติศาสตร์ชาติแบบรวมศูนย์และหยุดนิ่งเช่นนี้แหละ
ที่กำลังพ่นพิษพ่นไฟอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกวันนี้…..#</p>
<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"> </p>
<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">
เมื่อผมอ่านจบบทความนี้แล้ว
ผมนึกถึง คำพูดใครคนหนึ่งที่ว่า ระบบสื่อสารบ้านเราก้าวหน้ามากๆ
แต่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องยังน้อย”
เลยตัดสินใจเอาบทความนี้มาขยายครับ</p>
<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"> </p>
<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">————————–</p>
<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"> </p>
<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;">แหล่งข้อมูล:
http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=180</p>