กิจกรรมชาวบ้านสุดสร้างสรรค์ที่บ้านปากน้ำเชี่ยว (ภาพ)


มาเมื่อไร ประทับใจไม่รู้ลืม

เส้นทางเดินท่องเที่ยวธรรมชาติของบ้านปากน้ำเชี่ยว ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ เพราะประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด ที่ขึ้นอยู่โดยธรรมชาติ และความพยายามของชาวบ้านที่พยายามรักษาสิ่งที่อยู่กับวิถีชีวิตของตนเองอย่างน่าชื่นชม 

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำเราชมเส้นทางธรรมชาติป่าชายเลนนี้ มีความรู้ลึกซึ้งในผืนป่าของเขาเป็นอย่างดี เขารู้ถึงธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน รวมทั้งวิถีชีวิตของชุมชนในหมู่บ้านของเขา  เขาจึงเป็นคนหนึ่งในชุมชนที่เป็นแกนนำด้วยความมุ่งมั่น เพื่อจะให้ผืนป่าของชุมชน อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคงไม่ไกลเกินฝัน 

วันนี้มีภาพมาฝากค่ะ

เตรียมใส่ boots ก่อนออกเดินทางเดินป่า ดูแล้วแต่งชุดไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศ  ทีมงานอ้างว่าที่ไม่ได้บอกก่อน เพราะต้องการ surprise!!

เจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่เคยมาทำโครงการเมื่อคราวที่แล้ว ตอนนี้หมดโครงการ ก็ยังมาร่วมโครงการนี้ด้วยเช่นกัน

เดินศึกษาป่าธรรมชาติ แถมได้มีโอกาสปลูกป่าด้วย

ตรงนี้ชาวบ้านบอกว่าเป็น "รูปูเปรี้ยว"

ดอกอะไรไม่รู้  ชาวบ้านบอกแล้ว  แต่ลืม !!

เราเดินทางที่ทำไว้ ขนานกับลำคลองเล็ก ๆ นี้

เพลินกับเฟิร์นนาคราช ที่เกาะต้นไม้ใหญ่อยู่ดาษดื่น

ชาวบ้านเลี้ยงหอยแมลงภู่ในลำคลอง

ลูกลำแพน อยู่บนต้นในป่า สวยงามกว่า ในกระถางมาก

นี่คือทางเดินที่เราใช้เดินออกไปจนทะลุถึงปากอ่าว

วันนี้ชาวบ้านเข้าร่วมเวที กันพร้อมหน้า

ยามสนธยา บริเวณบ้านชาวประมง ริมฝั่งน้ำปากคลองน้ำเชี่ยว

ตากับหลานพากันพายเรือไปเก็บลูกโกงกางที่หล่นมาเต็มลำเรือ เพื่อนำไปปลูกเพิ่มเติมที่ป่าโกงกาง

อาจารย์ไพโรจน์ แสงจันทร์

เจ้าของโครงการ

จากเส้นทางเดินด้วยเท้าซึ่งต้องเหยียบย่ำลงในโคลนบ้างเป็นบางครั้ง และผจญกับฝูงยุงที่แทบจะอาศัยเราเป็นบ้านชั่วคราว (เกาะอย่างเดียว ไม่กัด) พวกเราข้ามสะพานข้ามคลองมาถึงบริเวณที่นั่งพักสุดปากอ่าว มองออกไปข้างหน้าเห็นผืนทะเลกับเกาะช้างอยู่ตรงสุดขอบฟ้า

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเล่าว่า เมื่อก่อนที่ยังไม่มีเรือเฟอร์รี่ ผู้คนใช้เส้นทางนี้ขนส่งลำเลียงสิ่งของมาขึ้นที่ท่าปากน้ำเชี่ยว  ในปัจจุบันเส้นทางนี้ใช้สำหรับชาวประมงจับสัตว์น้ำ

พวกเราพากันลงเรือกลับอีกเส้นทางนึง เราได้มีโอกาสเห็น "นกเหยี่ยวคอขาว" ที่บินเวียนว่อนอยู่เหนือป่าโกงกางที่พักอาศัยของพวกเขา ชาวบ้านบอกว่าที่นี่มี "ลิงแสม" "นกกินปลี" ด้วย แต่พวกเราไม่มีโอกาสเห็น เห็นแต่ลิงอุรังอุตังในกลุ่มของพวกเราเอง  นั่งเรือแสนไปเรื่อย ๆ แสนสำราญใจ มีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย แต่ไม่ทันทำให้เปียก ก็ถึงท่าที่จะขึ้นเสียก่อน

วันนี้ทางทีมงานจัดอาหารกลางวันแบบชาวบ้านไว้ให้กิน มีพวกนั่งล้อมวงกันกินอยู่ก่อนแล้ว 2 วง อาหารวันนี้มี ต้มยำปลากะพง  ปูดำต้ม  หอยแมลงภู่นึ่ง (สองอย่างนี่ จิ้มกับน้ำพริกเกลือสูตรภาคตะวันออก)  ยำหอยปากเป็ด 

เราไม่ค่อยตื่นเต้นกับการกินอาหารทะเล เพราะมีให้กินสด ๆ ตลอด แต่วันนี้มีอาหารอย่างหนึ่งที่ไม่เคยกันคือ "หอยปากเป็ด"  ก็ตัดสินใจว่าจะกินดีหรือไม่ ใจหวลกระหวัด ไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว พาคนกรุงเทพฯ ไปกินอาหารทะเล  ออกจากร้านมาไม่ถึง 20 นาที หน้าตาบวมเห่อ ลุกลามไปทั่วตัว พาให้อึดอัดหายใจไม่ออก แต่รอดตายมาได้ ทั้งที่อาหารครั้งนั้นเคยกินมาก่อนแล้วทั้งนั้น อายคนกรุงซะ!!

ครั้งนี้จะเอายังไงกับมันดี "หอยปากเป็ด" เอาเถอะ กินซักหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นยังไง มันก็อร่อย หอม ได้ใจ เพราะชาวบ้านยำใส่สมุนไพร แต่ก็กินไปนิดเดียว เพราะเกรงว่า เป็นหอยที่รู้หน้าแต่ไม่อาจจะรู้ใจ วันนี้ลองชิม ๆ ไปก่อน 

เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ได้นึกถึงอะไร  แต่ผ่านไปอีกสักพัก มีอาการระคายคอ ตอนแรกเข้าใจว่าดื่มน้ำเย็น อากาศก็ร้อน อาจจะไม่เข้ากัน สักพักใหญ่น้ำมูกพากันไหลออกมาจากสองจมูก กระดาษทิชชูที่พกพาไปถูกใช้จนเกือบเกลี้ยง ขนาดใช้แบบประหยัดพลิกไปมาหลายรอบด้วยนะ พอขึ้นรถจะกลับจันทบุรี มีอาการจามประกอบเป็นระยะ ๆ  แน่นจมูกทั้งสองข้าง น้ำมูกก็ยังไม่หยุด ทำให้อึดอัดหายใจไม่ค่อยออกด้วย ขณะนั้นรู้สึกว่ามีอาการเห่อที่ตาทั้งสองข้าง

พอถึงบ้านรีบไปส่องกระจกดู  ตายละวา เป็นอะไรไปแล้วตู  ตาบวมทั้งตาบนและถุงตาด้านล่าง เห็นเป็นสองถุงชัดเจน  ตอนนั้นทุ่มกว่าละ ตัดสินใจไปซื้อยามากิน ยังมีอาการแน่นจมูกสุด ๆ น้ำมูกไหลออกมาบ้าง แต่สักพัก อาการดีขึ้นก็นอนหลับไป ไม่มีอาการอะไรนอกจากนั้น

ตื่นเช้ามารู้สึกว่าตามยังบวมอยู่ ตาข้างขวาลืมไม่ค่อยขึ้น เข้าใจว่าเป็นขี้ตามาติด ไปส่องกระจกดู "โอ้ เดียร์!! ตาข้าพเจ้า มันบวมเบ่งและเริ่มปิดสนิท" ทำไงดีล่ะ  รีบไปโรงพยาบาลหาหมอดีกว่า  กลัวเป็นเหมือนเพื่อนที่แพ้ยา กลายเป็นโรคหนึ่ง ทำให้เนื้อเยื่อในร่างกายถูกทำลาย ตาเกือบบอด

ไปถึงโรงพยาบาลหมอให้พักรักษาตัวดูอาการก่อน เพราะค่อนข้างรุนแรง  โชคดีที่สุดท้ายไม่เป็นอะไร ทั้งให้น้ำเกลือและฉีดยา หมอให้ยามากินให้หมด แต่ยังบวมอยู่เลย  จนลูกชายบอกว่า "แม่กินจนพุงบวม ไม่มีที่บวม เลยมาบวมที่ตา" 

หมอสรุปว่า น่าจะแพ้อาหารทะเล ที่กินมา และพากันให้ "หอยปากเป็ด" เป็นแพะไปงานนี้

ดู ดู๊ ดู ดูหอยมันทำ  ทำไมถึงทำกับฉันได้!!

หมายเลขบันทึก: 177832เขียนเมื่อ 20 เมษายน 2008 19:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อย่างนี้ซิของจริง กับการที่เรียกว่า ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ป่าชายเลนเป็นป่าที่มีระบบนิเวศน์สมบูรณ์ที่สุด และมีอาหารที่สมบูรณ์ จึงเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นการผสมผสานของสิ่งมีชีวิตหลากหลายพันธุ์ หรือแม้มนุษย์เองที่ทำมาหากินในแถบนี้ ก็จะมีวิถีการดำรงชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ น่าไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท