ฟังและคุยกับคุณอ้นจนเกือบบ่ายสามโมง จึงได้เดินทางจากสวนมุ่งสู่อาศรมพลังงานที่ปากช่อง ที่นี่ท่านอาจารย์ชาญชัย ลิมปิยากร และคณะจากกรุงเทพ รอรับพวกเราและรอทานข้าวกับพวกเรา ....เราไปถึงเกือบสองทุ่ม..ที่นี่ก็เช่นเคย ควักเครื่องของมาเตรียมอาหารในครัวของอาศรม...เราพักค้างกันโดยเตรียมข้าวของเครื่องนอนมากันเอง อาจารย์ยังอนุญาตให้พวกเราเก็บผักที่ปลูกที่อาศรมมากินได้
เข้าเรียนรู้ตามฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ที่อาศรมก็ใช้เวลาจนประมาณ ๑๑.๐๐ น. จึงได้ล่ำลาซึ่งกันและกัน พบกันแล้วก็จากกัน.....แม่บุตรมารำพึงรำพันกับดิฉันว่า
คบกันแล้วก็ต้องจากกัน มันก็คิดถึงกัน มาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วมารู้จักกัน เป็นมิตรกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน....
ส่วนน้อง ๆ อาจารย์ตามฐานต่าง ๆ ก็บ่นกันว่าเสียดายเวลามันน้อย ยังมีบางส่วนก็ยังไม่ได้ชม
ขากลับพวกเรามีโอกาสแวะชมปราสาทหินพนมรุ้ง กว่าจะตำบักหุ่ง แบ่งไข่ต้มคนละฟองสำหรับอาหารเที่ยงวันนี้ก็บ่ายสองโมงกว่า ๆ แล้ว พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่จนเกือบห้าโมงเย็นจึงได้เคลื่อนขบวนกลับภูมิลำเนา งดโปรแกรมที่จะแวะดูงานของพี่น้องที่สุรินทร์ เนื่องจากว่ามันมืดแล้ว ก็เป็นช่วงที่สนุกที่สุดบนรถ ทั้งแลกผญา ลำเต้ย ลำกลอนและเพลงต่าง ถูกงัดมาใช้ตลอดเส้นทาง จนกระทั่งประมาณ สามทุ่มจึงได้แวะปั๊ม แถว ๆ สุวรรณภูมิ
ช่วยกันกุลีกุจอ ขนข้าวของ อาหาร ลงมาจากรถ เป็นมื้ออาหารมื้อสุดท้ายของการดูงานครั้งนี้
คราวนี้ก่อไฟในเตาเลย นึ่งข้าวเหนียวที่แช่ไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่พนมรุ้งนึ่งข้าวเหนียวร้อน ๆ กับปลาแดกบองและหมูแดดเดียวคนละชิ้นสองชิ้น ส่วนมะเขือที่ต้มแล้ว นำมาจากอาศรม บูดเนื่องจากอากาศร้อนมาก....
เมื่อใจ”สว่าง”ซะแล้ว ปัญหาที่มี ก็กลับแก้ไขได้หมด หรือไม่หมดก็เผชิญกันไปร่วมกัน นี่แหละหนาที่คนโบราณว่าไว้ไม่มีผิด
ไม่มีความเห็น