เราเรียกของเราเองว่า เทคโนโลยีร้อน คือเทคโนโลยีเพื่อการแข่งขัน ส่วนเทคโนโลยีเย็น คือ เทคโนโลยีเพื่อการพึ่งตนเอง ....ด้วยเป้าหมายที่ต่างกัน พฤติกรรมหรือวิธีการก็ออกมาต่างกัน
บันทึกก่อนหน้านี้ได้พูดถึงเทคโนโลยีร้อน บันทึกนี้จึงอยากพูดถึงเทคโนโลยีเย็น
เศรษฐศาสตร์มองเทคโนโลยีว่าเป็น "องค์ความรู้"ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เราตีความว่า "เทคโนโลยีร้อน" นั้นมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกตลาด คือทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงหรือการผลิตเพิ่มขึ้นด้วยปัจจัยการผลิตเท่าเดิม (การเปลี่ยนแปลงด้านอุปทานหรือ supply) หรือทำให้สินค้ามีคุณค่าเพิ่มขึ้น (การเปลี่ยนแปลงด้านอุปสงค์หรือ demand)
ส่วน "เทคโนโลยีเย็น" นั้น สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ "ไม่จำเป็น" ต้องผ่านกลไกตลาด เพียงแต่มุ่งเพื่่อแก้ปัญหาของตัวเอง การปฏิวัติเขียว เช่น ข้าว นั้นมีจุดสำเร็จมาจากประเทศที่พึ่งตนเองด้านอาหารไม่ได้ เริ่มต้นจึงเป็นเทคโนโลยีเย็น แต่เมื่อมันถูกนำมาใช้เพื่อการแข่งขัน เทคโนโลยีก็เป็นประเด็นร้อนขึ้นมา
เกษตรกรไทยเผชิญปัญหาหนี้สิน ปัญหาคุณภาพทรัพยากรเสื่อมโทรม สุขภาพมีปัญหาเพราะสารเคมี จึงเริ่มหาทางออกด้วยการค้นหาองค์ความรู้ที่แก้ปัญหาได้จริงด้วยการหันกลับมาสู่ธรรมชาติและต่อยอดภูมิปัญญา เทคโนโลยีชาวบ้านเพื่อการพึ่งตนเองจึงเป็น เทคโนโลยีเย็น
เศรษฐศาสตร์แบ่ง "สิ่งดี (goods)" (ที่ภาษาไทยแปลแล้วให้ภาพผิดว่า "สินค้า") ออกเป็น 2 ประเภท คือ สินค้าสาธารณะ (public goods) และสินค้าเอกชน (private goods)
"องค์ความรู้" นั้น เป็นสินค้าสาธารณะ (public goods) ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือ เป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมใช้ได้โดยไม่เป็น "ปฏิปักษ์" กัน หมายความว่า แม้คนหนึ่งใช้ความรู้นี้ไปแต่ความรู้ก็ยังไม่สูญหาย คนอื่นๆนำไปใช้ได้อีก เราจึงควรสนับสนุนให้มีการผลิตสินค้าสาธารณะ เช่น ความรู้มากๆ เพราะเมื่อผลิตขึ้นมาครั้งหนึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับคนหลายคน
(ต่างจากสินค้าเอกชน เช่น ข้าว เพราะถ้าคนที่หนึ่งทานข้าวไป อีกคนก็ไม่มีข้าวทาน สังคมต้องใช้ทรัพยากรผลิตข้าวเพิ่มมาให้คนที่สองได้ทาน)
สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือเมื่อมองจากฐานคิดเรื่องการแข่งขัน กล่าวคือ คนที่ลงทุนคิดสร้างความรู้ใหม่ แต่ปรากฏว่ามีคนอื่นๆมาลอกเลียนหรือเอาไปใช้โดยไม่ได้ช่วยร่วมทุนร่วมแรงด้วยแถมยังกลับมาเป็นคู่แข่ง คนที่ลงทุนคิดเทคโนโลยีก็ไม่อยากลงทุน
เกิดเป็นความขัดแยังกันว่า ในขณะที่สังคมต้องการให้สร้างความรู้ขึ้นมาเยอะๆ แต่เอกชนไม่มีแรงจูงใจจะลงทุนสร้างความรู้เพราะยากจะกีดกันคนอื่น จึงเกิดแนวคิดสร้างอำนาจกีดกันขึ้นมาให้แก่คนคิดเทคโนโลยีด้วยการสร้างระบบ "ทรัพย์สินทางปัญญา" เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เพื่อให้คนคิดเทคโนโลยีสามารถผูกขาดเทคโนโลยีได้ในช่วงเวลาหนึ่ง (ไม่ให้อำนาจผูกขาดตลอดไปเพราะจริงๆก็อยากให้ความรู้นั้นเป็นประโยชน์กับสังคมทั่วไปตามทฤษฎี... เพียงแต่ว่า โดยข้อเท็จจริง "ความรู้" ก็มีอายุขัย" เพราะมีความรู้ใหม่ๆขึ้นมาแทนเสมอๆ กว่า"ความรู้" จะเป็นอิสระให้ทุกคนเข้าถึงได้ ก็กลายเป็น "ความรู้เก่า"ที่อาจล้าสมัยไปแล้ว)
แต่ "เทคโนโลยีเย็น" เพื่อการพึ่งตนเองนั้นเป็นความรู้เพื่อการอยู่รอด ไม่ได้มุ่งแข่งขันกัน การถ่ายทอดความรู้แก่กันก็ช่วยให้ทุกคนดีขึ้น เป็นบุญกุศล ไม่แข่งกัน ไม่ต้องกีดกัดความรู้ ความรู้จึงเป็น "สิ่งดีสาธารณะ" โดยแท้จริง
สวัสดีคะ อาจารย์ปัทมาวดี
เทคโนโลยีเย็นกับร้อน แค่ชื่อก็เห็นภาพแล้วนะคะ ว่าจะส่งผลกระทบต่อไปอย่างไร
มาเก็บเกี่ยว "สิ่งดีสาธารณะ" จากบันทึกของอาจารย์(อีกแล้ว)
ขอบคุณมากคะ
ด้วยความเคารพ
---^.^---
สวัสดีค่ะคุณพิมพ์ดีด
หวังว่าบันทึกจะเป็น "สิ่งดีสาธารณะ" เพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดระหว่างกันและกันของทุกคนค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ