The World Bank
SAREX Indaba
วันนี้ทั้งวัน ผมไปร่วมการประชุมที่คล้าย retreat ของเจ้าหน้าที่ External Affairs ของธนาคารโลกภูมิภาคเอเซียใต้ ที่เขาเรียกย่อๆ ว่า SAREX (South Asia Regional External Affairs) ซึ่งจัดที่กรุงเทพระหว่างวันที่ ๒ – ๖ มี.ค. สิ่งที่เขาต้องการคือ ให้เกิด Knowledge Sharing ระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้ง ๗ ประเทศในภูมิภาค และสำนักงานใหญ่ที่กรุงวอชิงตัน
เขาเชิญผมให้ไปพูดเรื่อง Why Knowledge Matters in Development : Building Knowledge Economies to Fight Poverty ในวันที่ ๔ มี.ค. คือพรุ่งนี้ โดยเขาบอกว่าถ้าผมสนใจช่วงอื่นๆ ก็ยินดีให้เข้าร่วม วันนี้ผมจึงไปร่วมค่อนวัน เพราะผมอยากรู้ว่า WB เขามอง KM อย่างไร
ผมสรุปว่าคนที่มาร่วมประชุม เข้าใจและรู้จัก KM ในระดับที่ไม่ลึกนัก พวกเราที่ สคส. และภาคี ลึกกว่ามาก
แต่ที่ผมได้ประโยชน์มาก คือได้เข้าใจเรื่อง ER – External Relations ที่เข้ามาแทนที่ PR – Public Relations ในมิติใหม่นี้ งาน ER เน้น communications (สื่อสาร) และงานสารสนเทศ เน้นสื่อสารกับทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร ที่สำคัญคือเขาเน้นทำงานเชิงรุก มองว่างาน ER เป็นงานสร้างโอกาส และลดความเสี่ยงขององค์กร
ต่อไปนี้เป็นบันทึกที่ผมใช้ พีดีเอ บันทึกระหว่างประชุม
Knowledge Sharing
เขาเริ่มต้นด้วย KS Best Practice 4 เรื่อง คือ
อินเดีย : Crisis communication
WB ถูกกล่าวหา จาก Civil society ว่าเป็นฝ่ายนายทุน WB ควรอยู่ในอินเดียหรือไม่ มี negative campaign ต่อต้าน WB ว่าเป็นเครื่องมือของสหรัฐ นายทุน
**วิธีแก้คือไม่แก้ แต่สร้างพื้นที่ทำงานร่วมกัน วิธีทำงานใน complexity วิธีแสดงความจริงใจ ความเข้าใจมุมมองอื่น ไม่ทำงานตอบโต้
เจ้าหน้าที่ External Affairs ดำเนินการเพื่อทำความเข้าใจต่อสาธารณชนหลากหลายด้าน
• ใช้ website ให้ fact กลางๆ มี Q&A section แสดงความ open / transparency
• มี ผอ. Country director ที่ open, Self-criticism in public
• จัด field trip ให้ผู้สื่อข่าว
• ให้ข้อมูล
• มองเป็นโอกาสทำงาน packaging ข้อมูล
• รับฟัง ยอมรับว่า WB ไม่ได้ทำถูกเสมอไป ยอมรับว่า civil society criticism is changing the WB
**ผมนั่งสังเกตทักษะในการ ลปรร. ของ จนท. WB ดูว่าเขามีทักษะด้าน storytelling แค่ไหน
เรื่องแบบนี้เกิดในทุกประเทศกำลังพัฒนา
Innovative Campaign against HIV/AIDS ศรีลังกา
Portraits of commitment
ใช้ภาพสื่อสาร ทำงานร่วมกับสมาคมถ่ายภาพ
Language of images : powerful & compelling
ใช้ตุ๊กตุ๊กเป็น mobile gallery ให้คนขับตอบคำถาม - HIV Communicators ถ้าตอบไม่ได้มี mobile phone ถามไปที่ศูนย์
ให้ชาวบ้าน (คนขับตุ๊กตุ๊ก) ทำ storytelling ด้วยตนเอง
ศิลปินเป็น great communicator ชวนมาทำงานที่มีคุณค่าต่อสังคมได้เสมอ
**ผมตั้งคำถามว่า การสื่อแบบนี้ WB ควร lead/own หรือ empower ให้ local organization เป็น leader/owner
On-line dissemination of knowledge Erik Nora
Thinking process ของ communicator ต่างจากการสื่อสารทั่วไป
"End Povert in a generation" blog
- JIT Approach
- Timing
- web package + e-mail alert
- โยงสิ่งที่เกิดในโลก เข้ากับกิจกรรมของ WB และ package แล้ว call attention ต่อผู้สนใจ ตามที่เขาสนใจ
- ออกจาก issue/dept silos เปิดสู่โลกแห่งสารสนเทศ และเอา ค เหล่านั้นมาใช้ ปย ในงานของตน
Afghanistan
Capturing Results
การสื่อสารความสำเร็จในท่ามกลางเรื่องราวของความไม่สงบ สื่อไปสู่ donors ให้สาธารณะสื่อ
เลือกสื่อตามเป้า
Website : ตาม issue รูปบุคคลน่าเชื่อถือในด้านนั้นๆ ตัวหนังสือเป็นคำสั้นๆ link ไปยัง audio clip
ในอัฟกา มีสถานีวิทยุ ทีวี เกิดมากมายและต้องการขอเงินจาก donors
**ทำเอง เป็นเจ้าของเอง vs หนุนให้คนอื่น/องค์กรอื่น ทำและเป็นเจ้าของ เราหันมาทำงานที่กว้าง สร้างสังคมที่เอื้อต่อเป้าหมาย
Communications at the ADB
Ann Quon
67 member countries 2/3 in the region
2,500 staffs, 800 professional
เพิ่งปีที่แล้วที่ศึกษาภาพลักษณ์ของ ADB ผลออกมาดีเกินคาด n = 700 ใน 30 ปท กระจายใน donors และ borrower countries กระจายกลุ่มในสังคม
เอเซีย 8% annual growth
2/3 of world's poor - 600m under $1/d
Rising inequity
LTSF – Longterm Success Factors
ADF X Replenishment ต้องหาทุนเพิ่ม ทำความเข้าใจต่อ donor community
more focused, selective
**WB communication อาจจะเน้นต่อ donors มากกว่าคนทั่วไป
Public communication policy 2005 to make ADB
1. More open
2. More Accountable
3. More Effective
4. Better recognized
5. Widely respected
Communicate 2-way communication และ share lessons learned
Stakeholder trust
**ปัญหาคือ WB/ADB คำนึงได้แต่ผลต่อตลาด/econ growth ไม่ได้คิดถึง H Impact / Env impact ต่อ local population อย่างรอบคอบ
**ADB ทำหน้าที่นำเงินไปสู่การพัฒนา
**DER – Dept of External Relations ไม่ใช่ DPR มุมมองใหม่
**DER staffs ทำงาน facilitate KS ระหว่างภายนอกและภายใน ต้องรู้จักทั้งในและนอก ผ่านการ communicate success stories
**ต้อง communicate negative info ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะเอ่ยขึ้นมา แสดงความจริงใจ
www.adb.org
- poverty
- climate change
**กลไกการเงินเพื่อพัฒนาควรเลือกอะไรเป็นธงนำ ยังเอาการต่อสู้ความยากจนเป็นธงหลักอยู่หรือ หรือควรหาธงอื่นที่เหมาะสมกว่า
Q มองบทบาท ปท จีนอย่างไร
A จีน อินเดีย สำคัญ
จีนไม่ต้องการเงิน ต้องการ expertise
จีนมีโอกาสเป็น donor และต้องการ infrastructure development
Q joint assessment eg Tsunami
A pilot test colla
**ใช้ KM เพื่อความอยู่รอดขององค์กร
**มอง communication เป็นเครื่องมือของการดำรงอยู่อย่างดี สุขภาพองค์กรดี เหมือนร่างกายและจิตใจคน
Q เรียนจากความล้มเหลว experience sharing
A silo effect & share experience
ADB มอง gov เป็น player หลัก แต่บางรัฐบาลไม่พร้อม อยากได้ successes sharing
Thomas
- communicate c K in IT
- india : gov open up / transparency
K leaders
Scenario planning to do KM for WB not to be criticized
- Washington DC: innovative enough?
- GP of using KM Tools
Managing Talent in the Organization
Thomas Menkhoff
Sociologist
Teleos website
Economist.com web 2.02
March 24 - 25 : k architecture for development
Singapore's k4d project
Virtual team of km
K : info that enable human to act meaningfully
KM Pyramid
ต้องมี note taker
Taxonomies โดยคนที่ไม่ใช่ end users
Siemems sharenet
Nonaka : interdisciplinary ks
Eastgate bldg : termite ventilation
K@Wharton
K Drivers Questions - K Audit
From expert culture to network culture
How to create shared space?
Virtual teams
AAR ของผม
ได้เห็นสภาพที่องค์กรดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด โดยการ communicate อย่างซับซ้อน ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อแสดงบทบาทและคุณค่าของตน
WB / ADB มีคุณค่าเป็นองค์กรระหว่างชาติ ที่ทำหน้าที่ระดมทุน และกระจายทุนไปทำกิจการที่ก่อคุณประโยชน์ต่อมนุษยชาติ องค์กรเหล่านี้ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องหรือไม่
39 ปี วันพระราชทานนาม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตกกลางคืนผมต้องไปออกรายการ ทีวี ช่อง ๑๑ ร่วมกับ ท่านอธิการบดี ๒ ท่าน (คือ ศ. นพ. ปิยะสกล สกลสัตยาทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กับ ศ. ดร. คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ อธิการบดีจุฬาฯ) และอดีตอธิการบดี ๑ ท่าน คือ ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร
เป็นการเสวนาพิเศษ เรื่อง “บทบาทของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐต่อสังคม” โดยมี นพ. ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผอ. สำนักสุขภาพจิตสังคม กรมสุขภาพจิต เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา
ผมเตรียมไปบอกว่า ในสภาพของการเปลี่ยนไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สภามหาวิทยาลัยต้องทำหน้าที่เข้มแข็งขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น ทำหน้าที่กำกับดูแล ที่เรียกว่า Governance หรือ ธรรมาภิบาล ให้มหาวิทยาลัยทำหน้าที่รับใช้สังคมในฐานะสถาบันอุดมศึกษาที่มีจุดเน้นชัดเจน คือสถาบันอุดมศึกษามีหน้าที่หลากหลายหน้าที่ แต่ละมหาวิทยาลัยต้องกำหนดจุดเน้น หรือตำแหน่ง (positioning) ของตน สภามหาวิทยาลัยมีหน้าที่ดูแลให้มีการกำหนดตำแหน่งที่ถูกต้อง คือมหิดล ทำหน้าที่มหาวิทยาลัยวิจัยระดับนานาชาติให้แก่ประเทศ
เมื่อกำหนดจุดเน้น หรือตำแหน่ง แล้ว ก็ต้องกำหนดกฎระเบียบ และสร้างวัฒนธรรมองค์กร วิธีปฏิบัติ ให้ทำหน้าที่ดังกล่าวได้อย่างมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับมหาวิทยาลัยชั้นยอดในโลกได้ สภามหาวิทยาลัย ก็จะคอยกำกับดูแลให้ฝ่ายบริหารทำพันธกิจตามวิสัยทัศน์นั้นได้ และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่สร้างกลไกตรวจสอบในฐานตัวแทนเจ้าของ ให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างถูกต้องเหมาะสม คอยดูแลความเป็นธรรมให้แก่พนักงาน ให้มีการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม มีระบบรับการร้องทุกข์
หน้าที่ส่วนนั้นเรียกว่า หน้าที่กำกับดูแล แต่ยังมีอีก ๒ ส่วน คือหน้าที่ส่งเสริมเกื้อหนุนเชิงยุทธศาสตร์ และหน้าที่ให้ความริเริ่มสร้างสรรค์ จากมุมมองของกลุ่มคนที่ไม่ต้องทำงานบริหารจัดการ แต่รู้จักมหาวิทยาลัยดีพอ และในขณะเดียวกันก็รู้จักสังคมและสภาพภายนอกดีพอที่จะร่วมใช้ความสร้างสรรค์
สรุปว่าผมพูดเตรียมไปพูดย่อๆ ตามในหนังสือ
แต่เวลาพูดจริงๆ ไม่ได้เป็นตามสคริปต์เดิม เพราะผู้ดำเนินรายการต้องการซักว่าประชาชนจะได้ประโยชน์แค่ไหน หรือจะต้องรับเคราะห์จากการที่มหาวิทยาลัยของรัฐกลายไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเข้าใจว่า จะต้องมีการทำความเข้าใจคุณประโยชน์ของมหาวิทยาลัยต่อสังคมให้เข้าใจกันอย่างลึกกว่าที่เข้าใจกันอยู่
ไม่มีความเห็น