อยากเล่าว่า…ประทับใจหมอสมุนไพรพื้นบ้าน
“การรักษาโดยคำนึงถึงสิทธิผู้ป่วยและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”
ดิฉันได้มีโอกาสไปศึกษาเรื่อง ภูมิปัญญาท้องถิ่น: กรณีศึกษาความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคของหมอสมุนไพรพื้นบ้าน อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เมื่อก่อนวันวาเลนไทน์ปีนี้เพียงหนึ่งวัน จุดมุ่งหมายที่ต้องการไปศึกษาคือ อยากรู้ว่าหมอสมุนไพรพื้นบ้านที่นี่มีความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาโรคอย่างไร เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้และทำความเข้าใจผู้ป่วยที่มีความคิดความเชื่อในการรักษาโรคด้วยสมุนไพร เพราะว่าคนในวงการสาธารณสุขอย่างเราส่วนใหญ่ก็ได้เรียนอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยได้เรียนอะไรที่เป็นด้านสังคมศาสตร์มากนัก บางทีก็อาจรู้สึกเหมือนชีวิตที่ขาดความมีชีวาไปบ้าง
การศึกษาในครั้งนี้ เป็นการศึกษาที่มีรูปแบบคล้ายกับการวิจัยเชิงคุณภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็น baby research ซะมากกว่า เพราะว่าเป็นวิจัยที่มีเวลาจำกัดและเลือกที่จะศึกษาจากบุคคลเพียงคนเดียวโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง ดิฉันเลือกไปสัมภาษณ์หมอสมุนไพรพื้นบ้าน ชื่อ นายกรุง วงค์คำโสม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูแวว วงคำโสม ครูสมุนไพรผู้เลื่องชื่อของจังหวัดเลย ผู้ล่วงลับไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545
สิ่งที่ดิฉันบอกว่าเป็นความประทับใจก็มาจากผลการศึกษาในครั้งนี้ ที่รู้สึกว่าได้มากกว่าจุดมุ่งหมายที่ดิฉันอยากศึกษา ซึ่งมีด้วยกันหลายประเด็นอาทิ การตรวจร่างกายด้วยการจับชีพจร ซึ่งเป็นวิธีการที่ดิฉันอดฉงนสนเท่ห์ไม่ได้ ในขณะสัมภาษณ์ดิฉันได้ขอให้หมอสมุนไพรท่านดังกล่าวช่วยทำการตรวจวินิจฉัยโรคของตัวดิฉันให้ดูเป็นตัวอย่างสักหน่อย หมอสมุนไพรจับชีพจรดิฉันโดยจะใช้มือขวาของหมอสมุนไพรเคาะบริเวณข้อพับแขนซ้ายของดิฉันก่อน จากนั้นจะจับชีพจรบริเวณข้อมือซ้ายของดิฉันโดยใช้นิ้วหัวแม่มือ ขณะจับชีพจรก็จะทำปากขมุบขมิบบริกรรมคาถาร่วมด้วย สักครู่ก็บอกดิฉันว่าขออนุญาตจับบริเวณกระดูกคอร่วมด้วย เพราะคาดว่าดิฉันจะมีลมในกระเพาะอาหาร จากข้อมือมาบริเวณคอทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร น่าทึ่งไหมคะ !! ที่ทึ่งสุดๆ กว่านั้นคือว่าดิฉันมีอาการโรคกระเพาะอาหารกำเริบมาได้สัก 2 สัปดาห์ก่อนไปพบหมอสมุนไพรอยู่แล้วค่ะ สาเหตุก็เนื่องมาจากถูกงานและการบ้านจากการเรียนรุมเร้าค่ะ พยายามถามเพื่อให้ได้คำตอบว่าขณะจับชีพจรหมอสมุนไพรทราบได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าอธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าเมื่อสัมผัสแล้วรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติในขณะตรวจ ดิฉันอยู่ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันค่ะ ไม่คุ้นเคยกับการตรวจร่างกายจากอวัยวะที่ไม่เกี่ยวข้องแต่ทำให้ทราบโรคได้ ไม่ทราบว่าเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่า “แมะ“ หรือเปล่า? ท่านใดมีองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวก็กรุณาแลกเปลี่ยนและให้คำอธิบายเพิ่มเติมก็จะขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
จากการตรวจวินิจฉัยโรคด้วยการจับชีพจรดังกล่าวแล้ว สิ่งที่ดิฉันประทับใจและอดเปรียบเทียบกับการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้ก็คือว่า ท่าทีในการตรวจของหมอสมุนไพรท่านนี้ดูสุขุมคัมภีรภาพและน่าเชื่อถือมาก ๆ ทั้งในขณะท่องคาถา ท่าทีการพูดอธิบายในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งรับรู้ได้ถึงประสบการณ์และความชำนาญ ที่แพทย์สมัยใหม่เรียกว่า “ผู้เชี่ยวชาญ” แต่ต้องทำทีให้ดูน่าเชื่อถือ บางครั้งก็อาจจะดูว่าเก็กรึเปล่า?… บางทีไม่มีท่าแต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นจอมยุทธ์แบบไร้กระบวนท่า แพทย์บางท่านมีท่าดีแต่ไม่อาจถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ก็มี… หากกระทบใจใครก็ขออภัยไว้นะที่นี้ เพราะไม่ได้มีเจตนาว่าผู้ใดดอกค่ะ นอกจากนี้ ทุกครั้งที่จะพูดถึงผู้ป่วย จะขอตรวจร่างกาย หมอสมุนไพรท่านนี้ก็จะมีคำว่า “ขออนุญาต” อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งคำพูดที่ว่า “ถ้าคนไข้เขาไม่อนุญาตให้เล่าหรือบอกเราก็จะไม่บอกใคร“ นี่ใช่ไหมคะการปฏิบัติเรื่องสิทธิของผู้ป่วยที่เราพยายามสอนและปลูกฝังให้บุคลากรทางสาธารณสุขเข้าใจและปฏิบัติกันอยู่ พอถามถึงเรื่องการประเมินผลในการรักษาแล้วก็เป็นปลื้มขึ้นมาอีก เพราะคำตอบที่ได้คือ “บางครั้งผมก็กลับมาคิดว่าทำไมคนไข้คนนี้ถึงตายเร็ว เป็นเพราะเราให้ยาไม่ดีรึเปล่า?” สำหรับดิฉันแล้วคำพูดนี้กินใจมาก ถ้าเป็นวัยรุ่นกว่านี้คงใช้คำว่า ”โดน” ได้ มีผู้รักษาสักกี่รายที่มาทบทวนและยอมรับว่าตัวเองรักษาผิดพลาด อะไรที่ทำให้หมอสมุนไพรที่จบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมคิดและระลึกได้ แต่กับผู้จบระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่านั้นกลับไม่รับรู้… อย่างนี้ซิคะถึงจะเรียกว่า การรักษาโดยคำนึงถึงสิทธิผู้ป่วยและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
นอกจากนั้นแล้วยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องในการวินิจฉัยและการรักษาโรคด้วย ได้แก่ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นหมอสมุนไพรพื้นบ้านต้องถือศีล ต้องทำสมาธิและบริกรรมคาถาร่วมด้วยขณะทำการวินิจฉัยโรคเหมือนที่เล่าตอนแรก สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความเชื่อที่ได้ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมาของคนรุ่นก่อน อาจถือเป็นเรื่องของวัฒนธรรมและประเพณีทางสังคม ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อในกลุ่มคนได้ง่าย และยังอาจถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาที่สร้างให้คนปฏิบัติตัวดี ให้เป็นที่น่าเคารพนับถือ เพราะหากเราต้องไปรักษาโรคกับหมอที่ปฏิบัติตัวไม่เป็นที่น่านับถือ เราอาจรู้สึกขาดความมั่นใจที่จะรับการรักษา และไม่อยากจะฝากชีวิตไว้ในกำมือก็ได้
สิ่งที่เป็นความน่าประทับใจถัดไปคือ เรื่องการมิได้กำหนดหรือเรียกร้องว่าต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนเงินเท่าใด โดยให้ขึ้นกับผู้ป่วยว่าสามารถจะจ่ายได้เท่าใด และส่วนประกอบของยาสมุนไพรต่าง ๆ เช่น พืชสมุนไพร เขาสัตว์ เป็นต้น ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นภูมิปัญญาที่ร่วมด้วยช่วยกันเพื่อแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตในชุมชนร่วมกันของชาวบ้านโคนผง หมู่ 9 ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจช่วยเหลือ ความเอื้ออาทรต่อกัน เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “ยาขอหมอวาน” ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจพบได้ยากหรืออาจไม่พบเลยในสังคมเมืองปัจจุบัน ดิฉันเห็นว่าสมควรที่จะได้รับการอนุรักษ์ ส่งเสริม และสนับสนุนให้คงอยู่ต่อไปอีกตราบนานเท่านาน
ในส่วนสุดท้ายที่อยากเล่าให้ทราบถึงความประทับใจก็คือ เรื่องการทำพิธีขึ้นคายในการรักษาโรค ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เหมือนกับการไหว้ครูหรือขอบคุณผู้มีพระคุณ ดิฉันเห็นว่าเป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงความกตัญญู ระลึกถึงบุญคุณทั้งจากครูผู้สอนหมอสมุนไพรพื้นบ้าน และการตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งหมอสมุนไพรพื้นบ้านที่รักษาผู้ป่วยด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างเสริมกำลังใจ และทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ด้วย
ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านประทับใจในประเด็นต่าง ๆ ที่ดิฉันได้เล่าเหมือนกันบ้างไหม? หากมีสิ่งใดต้องการแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมกันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ สำหรับท่านใดสนใจรายละเอียดผลการศึกษาทั้งหมดกรุณาติดต่อมาได้ค่ะ ยินดีเผยแพร่รายละเอียดการศึกษาทั้ง 5 บท (ได้แก่ บทนำ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีดำเนินการศึกษา ผลการวิเคราะห์ข้อมูล และบทสรุป) เลยค่ะ อ้อ…สาเหตุที่ไม่นำลงไว้ ณ ที่นี้เพราะเกรงว่าจะน่าเบื่อเนื่องจากอาจเป็นวิชาการและมีเนื้อหายาวมากเกินไปค่ะ
เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ปัจจุบันนี้ต้องมีคนตามหาปราชน์ชุมชนอย่างนี้มาก มาก จึงจะดีสำหรับประเทิศไทย ซึ่งมีของดีอยู่แล้ว แต่ไม่เห็นของดีแบบไทย กลับไปสนใจจากตะวันตก มีอะไรดีดี ชาวปากพนังยินดีแลกเปลี่ยน
ขอขอบคุณสำหรับการเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นค่ะ หากมีอะไรเพิ่มเติมกันก็ยินดีค่ะ
น่าสนใจมากค่ะ อยากให้สหสาขาอาชีพในร.พ.มาเรียนรู้จากบันทึกนี้สามารถนำสิ่งดีๆมาใช้ได้เช่นการขออนุญาต การขอบคุณผู้ให้ได้เรียนรู้ในการรักษานั้นคือผู้ป่วยของเรา
พี่กบ ดีจังเลย เป็นประโยชน์มาก วันหลังจะได้ศึกษาเพิ่มเติม
ดีใจที่ได้รับความสนใจและเป็นประโยชน์กับทุกท่าน จะพยายามสรรหาสิ่งดี ๆ มาฝากอีกต่อไปนะคะ
น่าสนใจครับ
ภูมิปัญญาการรักษาพื้นบ้าน ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการแพทย์ยุคปัจจุบัน
สวัสดีค่ะ คุณHACC อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่ม น่าสนใจค่ะ หิงห้อยก็ชอบกินยาพื้นบ้านนะ เคยเป็นหวัด จะกินยาฟ้าทลายโจรเสมอ ไม่เคยกินยาพาราเลยค่ะ ขอโทษด้วยนะคะเข้ามาเยี่ยมช้าไป ตอนนี้ นำเข้าแพลนเน็ตหิ่งห้อยแล้วค่ะ
กำลังทำงานวิจัยรื่องสมุนไพรพื้นบ้านอยากได้งานวิจัยที่เกี่ยวงข้องใครมีข้อมูลบ้างค่ะ
อยากทราบสอบถามได้นะค่ะ เรื่องหมอยาสมุนไพรพื้นบ้าน และหมอนวดแผนโบราณที่มีประสบการณ์มาก นวดแบบรักษาและผ่อนคลาย แนะนำนะค่ะต้องลองนวดดูค่ะ
อ่านบทความข้างต้นแล้ว ได้ควมรู้และเป็นประโยชน์
และสนใจรายละเอียดข้างต้นทั้ง 5บท
ขอความกรุณาช่วยเผยแพร่ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ขอโทษนะคะ ตอนนี้หนูทำเกี่ยวกับหมอพื้นบ้าน แล้วก็การใช้วัชพืชสมุนไพรในท้องถิ่นหากว่าหนูต้องการบทที่ 1 - 5 ของพี่มาเป็น ไกด์ไลน์ให้งานวิจัยของหนูจะได้หรือไม่ค่ะ หนูขอความกรุณาด้วยนะคะ [email protected]
ดีมากเลยค่ะหลายคนที่มาให้หมอรักษาส่วนมากโรคที่เป็นจะหายขาด
สนใจครับ หากเป็นไปได้ กรุณาเมล์มาให้ด้วยก็จะเป็นพระคุณ จะได้นำเครื่องมือไปสัมภาษณ์หมองู ที่พังงา จะได้แลกเปลี่ยนกันครับ
เพิ่งมาพบงานวิจัยที่บ่งบอกถึงความเป็นอัตตลักษณ์ฉบับแบบชาวบ้านจริงๆ...อยากได้ข้อมูลตั้งแต่บทที่1-5 ครับ...
เพราะกำลังจะเริ่มโครงการอบรมเกี่ยวกับสมุนไพร..และการปลูกสมุนไพรเพื่อมอบเป็นความรู้ให้กับพระนิสิตของ มหาลัยสงฆ์ที่จังหวัดลำพูนครับ...
สวัสดีค่ะ คุณกบ ต่ายเป็นน้องสาวของหมอยาสมุนไพรพื้นบ้านในบทความนี้ พึ่งเข้ามาหาข้อมูลเก่าๆของพี่ชายเพื่อที่จะทำเพจในเฟสบุ๊คให้พี่ชายค่ะ ต่ายได้อ่านและมีความภูมิใจในทุกๆคำพูดที่คุณกบเขียน มันมีค่าและมีความหมายมากค่ะถ้าเป็นไปได้ต่ายอยากจะขอแชร์ข้อมูลนี้ได้ไหมค่ะ และท่านใดที่ต้องการจะติดต่อกับหมอสมุนไพรสามารถติดต่อได้ค่ะ พอดีพี่เค้าทำโทรศัพท์หายนานมากแล้วค่ะ เบอร์โทรใหม่ค่ะ 093-228-4963 หมอตึ๋ง 088-303-7014(ภรรยา) 089-705-0289(มารดา)
ยินดีค่ะ สามารถแชร์ต่อได้ค่ะ