"พุทธทาสลิขิตข้อธรรม: บันทึก นึกเองได้ : ว่าด้วยชีวิต สังคม การเมือง สันติภาพและหลักคิดสำคัญๆ"
เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ปี ๒๕๔๗ มีรูปเล่มเหมือนสมุดบันทึก (ไดอะรี่) ของท่านพุทธทาส ปี ๒๔๙๕ ทุกประการ กระดาษออกเป็นสีเหลือง จารึกลายมือของท่านพุทธทาส ที่สวยงามเป็นระเบียบ...
หน้าหนึ่งตอนท้ายๆเล่ม หัวสมุดปรากฎ "วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๔๙๕ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๒"
บรรทัดแรก ท่านพุทธทาสเขียนชื่อเรื่องตัวโตๆ "ปัญหาการประกันสังคม"
บรรทัดต่อไปเป็นข้อความ
"ปัญหาการประกันสังคม"
"โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกันสังคมให้คนแก่ชราได้รับการเลี้ยงดู เป็นปัญหาที่สนใจกันและโอ้อวดกันอย่างยิ่ง
เราเองก็เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้ เพราะเป็นอยู่ด้วยการไม่สะสมทรัพย์, ไม่สะสมอำนาจวาสนา, บารมี หรืออะไรต่างๆทุกอย่าง
แต่พอระลึกถึงพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลขึ้นมาเท่านั้น สิ่งที่เป็นปัญหาต่างๆมันปลิวหายไปหมด ความรู้สึกที่ว่า เจ็บไข้คนเดียว ตายคนเดียว สบายกว่าอย่างอื่น เกิดขึ้นมาแทน
ดูแล้วก็น่าหัวเราะ การประกันสังคม แม้การประกันการเลี้ยงดูคนแก่ชรา
ความฉลาดหรือความขี้ขลาดกันแน่ สำหรับคนโลกสมัยปรมาณูเช่นนี้"
เพื่อนคนญี่ปุ่นที่ทำงานพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนชุมชนที่ญี่ปุุุ่น เคยบอกว่า "การสะสมทรัพย์ใดๆไว้ยามแก่ชรา ไม่จำเป็นเลย ถ้าชุมชนมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันจริง"
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอัตราที่เร็วมาก
โดยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุตั้งแต่65 ปีขึ้นไป (นิยามขององค์การสหประชาชาติ) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 14 ใช้ระยะเวลาเพียง 22 ปี
ในขณะที่ประเทศพัฒนา คือ ฝรั่งเศส สวีเดน สหรัฐอเมริกา อิตาลี ต้องใช้ระยะเวลาตั้งแต่ระหว่าง 63-114 ปี
และประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี ใช้ระยะเวลา 26, 25 และ 22 ปี ตามลำดับ
ดิฉันว่า ลำพังเราจะเกื้อกูลกันเอง อาจไม่พอค่ะ
- คิดว่าสำคัญนะค่ะ เพราะระบบการประกันสังคมเราไม่ค่อยเหมือนต่างชาติ เราจึงไม่สามารถรอสังคมหรือระบบประเทศช่วยได้หมดทุกคน การอยู่อย่างมีหลักที่มั่นคง ก็ไม่เสียหลายจนเกินไปหรอกค่ะ พึ่งอย่าเห็นแก่ตัว
สวัสดีครับท่านอาจารย์
ที่อ.พุทธทาสลิขิตมันไกลเกินกว่าที่พวกเราคิดไว้
ชีวิตที่ตื่นรู้แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม ความสั้นยาวของชีวิตไม่มีความหมายใดๆ แต่การแพทย์ปัจจุบันไม่ยอมให้ชีวิตเราได้ตายดี
เราคือผีสดศพหนึ่งเท่านั้น ถ้ามีชีวิตโดยไม่ได้ทำประโยชน์อันใดเลยก็ไม่รู้จะมีชีวิตไปทำไม อย่างน้อยก็คนใกล้ตัวเรานะ
สวัสดีค่ะคุณ sasinanda
ท่านพุทธทาสเขียนเรื่องนี้เมื่อปี 2495 ตอนนั้นยังอยู่ในยุคส่งเสริมให้คนมีลูกมาก ประชากรเรายังน้อย ปัญหาสังคมคนชรายังไม่เกิด
ปี 2542 ได้รับหนังสือจาก JICA ทำนายว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศถัดไปในเอเชียที่ประสบปัญหาสังคมคนชรา จำนวนคนชราจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว
2547 อาจารย์อัมมารเขียนเรื่องภาคเกษตรและภาคชนบทจะเป็นภาคแรกๆที่ประสบปัญหาสังคมคนชรา เพราะคนหนุ่มสาวอพยพออก ก่อนหน้านี้ คนทำงานพัฒนาพูดเรื่องคนแก่ถูกทอดทิ้งในชนบท
2549-50 คนเมืองในประเทศไทยเพิ่งเริ่มตื่นตัวกับสังคมคนชรา
ส่วนหนึ่งของสังคมคนชรา เนื่องจากเด็กเกิดน้อยลง อีกส่วนหนึ่งเนื่องจาก คนมีอายุขัยเฉลี่ยยาวขึ้นเพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์และความสามารถในการจ่ายเรื่องยาและสุขภาพอนามัย
ดิฉันคิดว่า ความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะความเจ็บไข้และเหนี่ยวรั้งความตายจะเกี่ยวข้องกับปรัชญาชีวิตด้วยค่ะ
อาจจะตรงนี้กระมังคะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ท่านพุทธทาสเขียนถึง..
คุณเพชรน้อย และ อาจารย์ภีม
เห็นด้วยกับทั้งสองท่านนะคะ
มีนักวิทยาศาสตร์มาถามดิฉันว่า เห็นด้วยกับการ cloning มนุษย์และอวัยวะมนุษย์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์หรือไม่
ดิฉันตอบว่าไม่เห็นด้วย เราจะอยู่ไปยาวนานเพื่ออะไรกัน หากหายใจได้แต่ทำประโยชน์ไม่ได้ ไม่แบ่งพื้นที่ แบ่งทรัพยากรบนโลกให้คนรุ่นหลังได้ใช้บ้างหรือ
สวัสดีครับอาจารย์เอก
"คุณย่า" เป็นคุณแม่ในยุคที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีลูกมาก ตอนนั้นรัฐบาลคิดแค่ให้มี "แรงงาน" ไว้ "ทำงาน" เพื่อ "พัฒนาเศรษฐกิจ"
"คุณย่า" คงเลี้ยงลูกหลานมาอย่างดี ลูกหลานจึงห้อมล้อมตัวท่านอย่างอบอุ่น ทำให้คุณย่า "รวย" อย่างอาจารย์ว่า :)
คนรุ่นพวกเราลูกหลานน้อยลงแล้ว ตอนนี้มีแรงอาจพึ่งอินเตอร์เนตเป็นเพื่อน ตอนหมดแรง อาจได้รับแค่เงินสวัสดิการจากรัฐ เพื่อไปซื้อหุ่นยนต์มาป้อนข้าวเหมือนที่เขาทดลองที่ญี่ปุ่นค่ะ
คนในพื้นที่โชคดีที่ยังมี "ชุมชน" มี "เพื่อนบ้าน" ถ้าไม่รีบสร้างฐานชุมชนตอนนี้ ไม่รีบดึงคนหนุ่มสาวไว้กับพื้นที่ตอนนี้ อนาคตก็คงแย่เหมือนๆกันค่ะ
เมื่อวานนี้ นั่งคุยกับอาจารย์อภิชัยและคุณ Bernard ซึ่งเป็น NGO จากอังกฤษ เขาสนับสนุนชาวมุสลิมแถบชานกรุงลอนดอนให้รวมกลุ่มทำกิจกรรมพึ่งตนเอง หนึ่งในกิจกรรมนั้นคือ ระบบแลกเปลี่ยนชุมชน
ตอนหนึ่งคุณ Bernard กล่าวว่า "รัฐสวัสดิการของอังกฤษ ทำลายบทบาทของครอบครัว"
สวัสดิการชุมชนควรช่วยสนับสนุนบทบาทของครอบครัว ไม่ใช่ไปทำหน้าที่แทนครอบครัว
ความจริงแท้ ไม่เคยจางหายในโลกธรรมhttp://gotoknow.org/blog/56485/161187
ความเห็นต่อเรื่องประกันสังคม
การพิจารณาในทางโลกและทางธรรมมันน่าจะต่างกัน อาจจะสุดขั้วเลยทีเดียว
ทางโลกมันมีความจำเป็นอย่างมากที่จำเป็นต้องมีการเตรียมการตอนแก่ เนื่องจากความสามารถในการยังชีพมันคงน้อยลง จะด้วยวิธีการใช้ระบบประกันสังคมหรืออื่นอื่น ตามความสามารถของตัวประชาชนเองหรือ รัฐ ก็แล้วแต่ ซึ่งดูเหมือนเป็นปัญหาที่ต้องจัดการอย่างจริงจังและเร่งด่วน
ในทางธรรม การแก่ตายเป็นเรื่องธรรมดา ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องความเสื่อมของรูป ปัญหาคือการพัฒนาจิตตัวเองให้ลดโลภลง ผู้ที่เข้าใจธรรม เขาจะเตรียมกายเตรียมใจด้วยความไม่ประมาท เขาจะมีน้อยกินน้อย รักษารูปเขาให้ดี ทำใจได้ถ้ามีทุกข์กายทุกข์ใจ เขาเตรียมทรัพย์ทางใจเอาไว้แล้ว เขาเตรียมตัวที่จะตายเอาไว้พร้อมที่จะเกิดไปใช้กรรมใหม่ ตามธรรมชาติแห่งวัฏฏสงสาร
เขาไม่คิดมากเรื่องการประกันสังคมหรอกครับ ...ผมว่านะ
บางครั้งเราเตรียมเงินสวัสดิการ แต่ลืมเตรียมคนไว้ คิดว่ามีเงินก็หาคนได้ แต่ประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นบอกว่า "ไม่ใช่"
เรียนคุณหมอ
เข้าไปอ่านแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ครูบาฯมี "มุม" และ มี "มุข" เสมอ
คุณศักดิ์ณรงค์
ขอบคุณมากค่ะ
"ความจริงแท้ ไม่เคยจางหายในโลกธรรม"
คุณชินคะ
มุมมองทางโลกและทางธรรม ถ้าเคลื่อนเข้าหากันได้ก็คงจะได้สมดุลที่ดีสำหรับผู้คนที่ยังอยู่บนโลกค่ะ
ขอบคุณค่ะ
คุณ wwibul
มีข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดีๆเสมอๆนะคะ
"รัฐสวัสดิการของอังกฤษ ทำลายบทบาทของครอบครัว"
สวัสดิการชุมชนควรช่วยสนับสนุนบทบาทของครอบครัว ไม่ใช่ไปทำหน้าที่แทนครอบครัว"
--------------
แน่นอนว่าสวัสดิการของรัฐที่ประเทศไหนก็แล้วแต่ ย่อมมีผลในการลดบทบาทของครอบครัว (เพราะความจำเป็นที่จะต้องให้ครอบครัวทำหน้าที่นี้น้อยลง)
แต่ผู้ที่พูดทำนองนี้ก็ควรต้องพิจารณาดูด้วยว่า ขณะที่ยังไม่มีสวัสดิการของรัฐนั้น ครอบครัว(อาจจะรวมชุมชนด้วย) เป้นที่พึ่งพิงให้คนได้มากน้อยแค่ไหน (ถึงแม้ในสังคมที่ครอบครัวเป็นที่พึ่งได้ 75-80% ก็หมายความว่าคนชราทุก 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 5 คน ไม่สามารถพึ่งสถาบันนี้ได้
ขอบคุณค่ะคุณ grnjvo เป็นการตั้งประเด็นที่ดี ชวนคิดค่ะ
ในเรื่องการดูแลคนในครอบครัว ดิฉันยังไม่เห็น "ความจำเป็นที่จะต้องให้ครอบครัวทำหน้าที่นี้น้อยลง" ตราบใดที่สังคมมนุษย์ยังต้องการความรัก ความเอื้ออาทร
อย่างไรก็ดี เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า บทบาทครอบครัวในปัจจุบันอ่อนแอลงไปอยู่แล้วด้วยบริบทเศรษฐกิจสังคม รัฐจึงได้เข้าไปหนุนเสริม แต่คิดแบบตะวันตกนั้น คิดแบบปัจเจกค่อนข้างมาก จึงละเลยเรื่องระบบความสัมพันธ์ของคน
รัฐอยู่ไกลจึงทำได้แค่ส่งเงิน ที่ผ่านมา รัฐไทยส่งเงินให้คนชรา ถึงบ้าง ไม่ถึงบ้าง บางที่ลูกหลานมารับเงินแล้วหายไปเลย (เพราะแม่ลูกอยู่คนละที่)
แต่ชุมชนอยู่ใกล้น่าจะทำได้ดีกว่านั้น หากตระหนักถึงบทบาทของครอบครัวก็สามารถออกแบบได้ เช่น รัฐสนับสนุนงบประมาณให้ชุมชนช่วยจัดการ และคงต้องออกแบบระบบเชิงซ้อน เช่น
หลายชุมชนในเมืองไทยมีความเข้าใจที่ชัดเจนต่อเรื่องเหล่านี้และออกแบบได้ดีทีเดียวค่ะ
จุดเริ่มต้นอยู่ที่การตระหนักว่า "ใครจะดูแลคนชราได้ดีที่สุด...ถ้าไม่ใช่ลูกหลาน"
คห. ข้างบนผมควรจะเขียนในวงเล็บว่า "(เพราะการมีสวัสดิการของรัฐในเรื่องหนึ่งเรื่องใดย่อมทำให้ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งครอบครัวในเรื่องนั้นน้อยลง)"
แต่เข้าใจว่า อ. คงจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียนอยู่แล้ว
แน่นอนว่า ถ้ามีสวัสดิการของรัฐแล้วคนในครอบครัวยังทำหน้าที่เหมือนเดิม ในหลายกรณีก็จะช่วยเสริมให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น
แต่ในบางกรณี การมีสัวสดิการของรัฐแล้วทำให้พึ่งครอบครัวน้อยลงก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน (เช่น ลูกหลานที่มีภาระลดลงก็อาจจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของครอบครัวใหม่ของตัวเองดีขึ้น)
หรือในบางครั้ง การมีสวัสดิการของรัฐที่ดีพอ จนอาจทำให้ "ครอบครัวแตกแยก" ง่ายขึ้น (เช่น ทำให้ผู้หญิงหลายคนมีทางเลือกและเสรีภาพที่จะเลือกมากขึ้น แทนที่จะต้องจำใจฝืนทนอยู่เป็น "ครอบครัว" กับ "สามี" ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ) ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสังคมก็ได้ (ถึงแม้ว่าว่าบนกระดาษเราจะเห็นตัวเลขการหย่าร้างเพิ่มขึ้นก็ตาม)
คุณ คห.17
เป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจ ขอบคุณมากค่ะ
อยากปล่อยวางให้ได้แบบที่ท่านพุทธทาสสอนบ้าง แต่ยากเหลือเกินเมื่อชีวิตยังดำเนินอยู่บนโลกนี้แบบกิเลสหนาอย่างตัวเอง
ฟังสิ่งที่ท่านพุทธทาสสอนแล้วดูคล้ายบางบทในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่พระเยซูสอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชีวิตควรดำเนินไปให้ถึง เพื่อจะพบความสุขแท้ แต่ยากเหลือเกิน...
"เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน อะไรดื่ม จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ
จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้สั่งสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระเจ้าในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ...
เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว" (มธ.6 : 25-34)
"แต่ละวันก็มีทุกข์อยู่พอแล้ว"...
เคยติดกับดักความคิดตัวเองไหมคะ...
ความทุกข์ทั้งหลายผ่านสัมผัสทั้งห้าเข้าสู่การคิด ยิ่งคิดมากยิ่งทุกข์มาก หยุดคิด คือจิตนิ่ง ก็คงพอจะเป็นสุข หรือคิดในเชิงบวกก็คงเป็นสุข (คือทุกข์น้อย) ตามอัตตภาพ ในช่วงเวลาสั้นๆก็ยังดี ฝึกบ่อยๆคงจะสงบได้นานขึ้น ก็จะสุขได้นานขึ้น .... ตัวเองไม่ใช่นักปฏิบัติเรื่องสมาธิวิปัสสนาแต่อย่างได
แนวของเซนเป็นการสร้างความสุขที่ง่าย ใจอยู่กับตัวในทุกอิริยาบท คิดปัจจุบันอย่างสร้างสรรค์ คือ มีเมตตาต่อตนเองและต่อทุกสรรพสิ่ง.. แค่เอาใจเขามาใส่ใจเราได้ ก็เยี่ยมแล้วค่ะ
ไม่เคยคิดจะอยู่ยาวๆนะคะ .. หมดประโยชน์เมื่อไหร่ก็พร้อมจะไป แต่ถ้าไปขณะที่ยังพอทำประโยชน์ได้ก็ไม่ว่ากัน....
ยุคนี้ไม่ใช่ยุคปรมาณู แต่เป็นยุคสังคมสูงวัย ( aging society ) พูดง่ายๆ คนแก่เต็มเมือง ถ้าสวัสดิการไม่พอ และเงินเกษียนไม่พอ ทีนี้เดือดร้อนแน่ คนแก่แบมือขอตังค์ แล้วพวกที่ีต้องพึ่งพาการบริจาค เช่น วัดหรือองค์กรการกุศล จะไม่มีคนมาบำบุญทำทาน เพราะคนรุ่นลูก คงต้องเอาเงินไปเลี้ยงดูพระอรหันต์ในบ้านแทน