ปีการศึกษา 2544 เป็นปีแรกที่ทุกหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รู้จักกับการประกันคุณภาพการศึกษา และต้องทำรายงานการประเมินตนเอง การแสวงหาความรู้และต้องทำความเข้าใจในเรื่องใหม่ของบุคลากรทั้งสำนักฯ ซึ่งมีบุคลากรรวม 30 คน ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่ตนเองที่มีประสบการณ์ การทำงานจากองค์กรธุรกิจมาตลอดระยะเวลามากกว่า 15 ปีในการทำงาน และเพิ่งเข้ามาสู่แวดวงการศึกษาเป็นปีแรก ดังนั้นความยากจึงมีมากเป็นเท่าตัว เพราะต้องศึกษา เรียนรู้ ทำความเข้าใจงานของสำนักฯ ที่เพิ่งเข้ามารับผิดชอบ ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ตรงมาก่อน และต้องเรียนรู้เรื่องการทำประกันคุณภาพการศึกษา ไปแทบจะพร้อมๆกัน จึงต้องตั้งหลักเรียงลำดับความสำคัญของงานให้ดี ในตอนนั้นต้องยอมรับความจริงว่าทั้งสองเรื่องนั้นเป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่มีความรู้มาก่อนเลย
ในช่วงแรกที่ต้องเรียนรู้งานในสำนักฯ
ทั้งหมดเพื่อที่จะสามารถกำกับดูแล บริหารจัดการ หน่วยงานได้
ต้องอาศัยการอ่านเอกสาร ค้นหาข้อมูลเดิม สอบถาม
จากผู้ร่วมงานในหน่วยงานโดยไม่อายที่จะบอกผู้ใต้บังคับบัญชาว่าเราไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน
ขอให้ทุกคนช่วยเป็นพี่เลี้ยงในช่วงแรกโดยตั้ง
เป้าหมายไว้ในใจว่าต้องรู้และเข้าใจงานทุกงานของสำนัก ภายในระยะเวลา 2
เดือน กับงาน 7 แผนกคือ แผนกบริการและรับลงทะเบียนเรียน
แผนกรับเข้าศึกษาและงานปริญญาบัตร
แผนกทะเบียนประวัติและหนังสือสำคัญ แผนกประมวลผลและสารสนเทศ
แผนกตรวจสอบและรับรองผลการศึกษา แผนกตารางเรียน/ตารางสอบ
และแผนกธุรการ
การเรียนรู้จากการอ่านเอกสารและคำบอกเล่าคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถบริหารจัดการได้ดี
จึงเพิ่มการลงมือปฏิบัติจริงด้วยตัวเองในทุกงานจนทำให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้งขึ้น
อีกทั้งยังได้เรียนรู้ปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัด ต่างๆ
ทำให้สามารถให้ข้อแนะนำ คำปรึกษา
บริหารจัดการงานที่รับผิดชอบได้เป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง
และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
จากประสบการณ์การเรียนรู้ของตัวเองดังกล่าว
จึงนำมาปรับใช้กับการเริ่มดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาของสำนักทะเบียนและประมวลผล
โดยมีแนวคิดที่จะผลักดันให้บุคลากรเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง
ไม่เพียงแต่เข้ารับการฝึกอบรมเพียงอย่างเดียว
แล้วปล่อยให้คนเพียงกลุ่มเดียวดำเนินการต่อไป
ซึ่งจะทำให้ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของสำนักฯ
ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่จะให้เกิดระบบบริหารจัดการที่มีคุณภาพ
การดำเนินการพอจะสรุปเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
1. ความสำคัญและเอาจริงเอาจังกับงานประกันคุณภาพการศึกษา
2. เข้าอบรม เรียนรู้ และนำมาถ่ายทอดภายในหน่วยงาน
3. สนับสนุนให้ทุกคนเข้ารับการอบรม
เพิ่มพูนความรู้อย่างต่อเนื่อง
4. รับผิดชอบและจัดทำรายงานการประเมินตนเองปี 2544
ซึ่งเป็นเล่มแรกด้วยตัวเอง
5.
แต่งตั้งคณะทำงานการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสำนักทะเบียนและระมวลผลทุกปี
โดยผลัดเปลี่ยน หมุนเวียน คนใหม่
ให้ทุกคนมีโอกาสเข้ามาเป็นคณะทำงานปีละ 8-9 คน มาจากทุกแผนก
โดยเริ่มที่ปี 2546 (รายงานการประเมินตนเองปี 2545 ) ให้ ผช.ผอ.
เป็นประธาน คณะทำงาน และมีหัวหน้าแผนกทุกคนเป็นคณะทำงาน
และ ผอ. เป็นที่ปรึกษา หลังจากนั้นในปีถัดๆ ไป
ก็จะมีหัวหน้าแผนกบริการฯ เป็นประธานคณะทำงาน
และมีสมาชิกจากทุกแผนกมาร่วมเป็นคณะทำงาน
และให้คณะทำงานชุดก่อนหน้าทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง และมี ผอ. และ ผช.
เป็นที่ปรึกษา
6. ติดตามการดำเนินงาน ให้กำลังใจผู้ปฏิบัติ อย่างต่อเนื่อง
เมื่อดำเนินการอย่างต่อเนื่องมา 4 ปี พบว่า คุณพิบูลย์
นาคสีดี หัวหน้าแผนกบริการและรับลงทะเบียน
มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
หรือผู้ตรวจประเมินได้
ตอนนี้จึงต้องหาโอกาสให้คุณพิบูลย์ในการพัฒนาต่อไปได้
สุภาษิตที่เคยเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมที่ว่า
"สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" ขอต่อเองด้วย " สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ "
น่าจะเป็นคำอธิบายเรื่องนี้ได้ดี คือ การอบรม อ่านหนังสือ
ฟังคำบอกเล่า ก็เป็นเพียง สิบปากว่า ถ้ามีคนทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
หรือไปดูงาน หรือ เป็นผู้สังเกตการณ์ ก็เท่ากับ ตาได้เห็น
ก็เข้าใจชัดเจนขึ้น แต่จะให้ดี ต้องลงมือทำ
ซึ่งจะได้ทั้งกระบวนการคิด กระบวนการทำงาน ทักษะ และอาจค้นพบสิ่งใหม่ๆ
หรือความรู้ใหม่ๆ ด้วยตัวเอง
ข้อความของพี่น่าสนใจมากเลยค่ะ..jQA
การประกันคุณภาพของคณะเศรษฐศาสตร์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาใช้วิธีการหมุนเวียนผู้รับผิดชอบโดยมีการสอนงานกันโดยเป็นกรรมการก่อนแล้วจึงหมุนเวียนเป็นประธานกรรมการ ซึ่งวิธีการนี้ทำให้งานประกันคุณภาพของคณะดีขึ้น