GotoKnow
หน้าแรกสมาชิกดร. ไสว เลี่ยมแก้วสมุดEmpirical Research › R&D การใช้ Reflex แก้ปัญหาอัมพาต

R&D การใช้ Reflex แก้ปัญหาอัมพาต

ดร. ไสว เลี่ยมแก้ว
เขียนเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2008 17:37 น. ()
แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2012 09:50 น. ()

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมพบข่าวทีวีโดยบังเอิญ ว่า หมอคนหนึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นชาวออสเตรเลีย หรือ นิวซีแลนด์ เขาได้นำความรู้เกี่ยวกับ "กิริยาสะท้อน" (Reflex) มาใช้แก้ปัญหาโรคอัมพาต ความคิดหลักก็คือ "จะหาอะไรมาสั่งการให้เท้าทำงานได้แทนการสั่งการจากสมอง" เรื่องนี้ เป็น "เทคโนโลยี" และเป็น R&D  และยังเป็นความคิดสร้างสรรค์สูงยิ่ง ผมไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับความคิดและการทดลองของเขา  แต่ผมจะนำข้อมูลเท่าที่ได้นี้มาวิเคราะห์เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาดังนี้

(๑) เขามีความรู้ประเภท "บริสุทธิ์" อยู่ก่อนแล้ว  ซึ่งเป็นผลงานของ"นักวิทยาศาสร์บริสุทธิ์" ที่ใช้ "การวิจัยบริสุทธิ์" ค้นคว้าใส่โกดังเอาไว้แล้วในอดีต คือ รู้ว่าสมองสั่งการผ่านไขสันหลังมายังประสาทวงจรกิริยาสะท้อนไปสู่กล้ามเนื้อ ให้ทำงานเช่นเคลื่อนไหว  ถ้าวงจรการสั่งการนี้ถูกตัดขาด  การเคลื่อนไหวดังกล่าวก็จะหยุดชงัก  เกิดอาการอัมพาต

แพทย์ทั้งหลายรู้เรื่องนี้มานานแล้ว จากการศึกษาวิชาแพทย์มา

(๒) เกิดมีคนเป็นอัมพาตมากรายทั่วโลก  นี่คือปัญหา !

ในประเทศออสเตรเลีย มีสัต์ชนิดหนึ่ง ภาพที่ผมเห็นในทีวีวันนั้นไม่ค่อยชัด  แต่มีลักษณะคล้ายปลาไหล  แต่สั้นกว่า  หัวคล้ายตัวดูดในหนังเรื่องคิงคองเรื่องล่าสุด  ปากกลมๆมีเขี้ยวเต็มปาก น่ากลัว  นายแพทย์คนนี้พบว่า  มันมีอะไรอย่างหนึ่งเป็นตัวสั่งการไขสันหลังได้ แทนสมองเพื่อให้ร่างกายมันกวัดแกว่งไปมาเพื่อว่ายน้ำ

เขาจึงคิดว่า "เราน่าจะเอา ตัวสั่งการ นั้น ไปสั่งการวงจร Reflex ในไขสันหลังของคนเป็นอัมพาต แทนการสั่งการจากสมอง จะได้หรือไม่ ?"  และนี่คือ จุดเริ่มต้นของปัญหาการวิจัย เขาจึงออกแบบการวิ จัย  วางโครงการวิจัย  และนี่ก็คือ "R" 

แน่นอนทีเดียว  เขาจะต้อง "นำความรู้บริสุทธิ์"ทั้งหมดมา Applied ใช้เพื่อการนี้  และนี่ก็คือ Technology !  อ๋อ  ยังไม่เป็น R&D !!

ดูเหมือนว่าภาพวันนั้น เขาเอาสายไฟฟ้าเสียบเข้กับปลาตัวนั้น ต่อเข้ามายังคอมพิวเตอร์  จากคอมพิวเตอร์ ต่อออกไปยัง "หุ่น" ตัวเล็กๆ แสดงขาสองขาแทนขาคน  ขาสองขานั้นเดินได้ครับ !!

และแน่นอนครับ  ก่อนที่จะมาถึงวันนั้น  เขาจะต้อง "ทำแล้วทำอีก  วิจัยแล้ว วิจัยอีกอีก" อย่างไม่ต้องสงสัย  และนี่ก็คือ "R&D" และผลงานอันนี้  ยังคงเป็นประเภท "เทคโนโลยี"

ขั้นต่อไป เขาคงจะจดทะเบียนลิขสิทธิ์  และผลิตเป็นสินค้า เพราะเทคโนโลยีกับการค้า เป็นของคู่กัน  อยากเอาชนะการค้า  ต้องดันเทคโนโลยี

ผมไม่รู้ว่า เขาเป็นนักเรียนดีเด่นชนิดเหรียญทองระดับโอลิมปิกหรือเปล่า  แต่ความคิดเข่นนี้แหละคือ "Ceativity"  หรือ "Creative thinking" ที่เราแสวงกันแหละครับ

มหาวิทยาลัยที่ผลิตเขามาคงจะพากภูมิใจไม่น้อยทีเดียว

คำสำคัญ (Tags): #technology, creativity, rd 


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย