ประเทศลาววันนี้ไม่มีกษัตริย์ในฐานะประมุข แต่มีประธานประเทศกับพรรคคอมมิวนิสต์ลาวที่มีอำนาจสูงสุด ดังนั้นสิ่งตกค้างต่างๆของพระมหากษัตริย์ ทั้งวัง อนุสาวรีย์ ข้าวของเครื่องใช้ จึงมีสถานภาพที่สูงต่ำดำขาวไปตามข้อกำหนดจากพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น....
ผมกลับมาจากหลวงพระบางนานแล้วแต่เรื่องราวของหลวงพระบางหลายเรื่องยังติดอยู่ในหัว
คราวนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวังเจ้านายของหลวงพระบางครับ
ผมทราบจากเอกสารท่านอาจารย์ชาญวิทย์ว่าที่โรงแรมระดับ
5 ดาวชื่อ แกรนด์
หลวงพระบางนั้นเดิมคือวังของเจ้านายประเทศลาวปัจจุบันมีนักลงทุนไทยมาบริหารอยู่
ผมหาโอกาสแวะเข้าไปเยี่ยม พบป้ายทางเข้าเขียนไว้ว่า Xiengkeo
& Hotel & Resort ยืนยันว่าโรงแรมแห่งนี้คือ
“วังเชียงแก้ว” (เอกสารบางฉบับกล่าวว่าเป็นพระราชวังสีสุวันนะหอคำ)
ของ “เจ้าเพ็ดชะราช
รัตตะนะวงสา”
เจ้าพระองค์นี้เกี่ยวข้องกับเราเพราะพระองค์เคยเสด็จมาพักอยู่ในประเทศไทยนานถึง
11 ปี
และเป็นบุรุษเหล็กของลาวที่รวมตัวพี่น้องชาวลาวต่อต้านลัทธิอาณานิคมฝรั่งเศส
เพื่อให้รู้จักพระองค์ท่านจึงของนำประวัติย่อมาแนะนำดังนี้
(บน)ป้ายบอกทางเข้า
Xiengkeo Hotel &
Resort (ล่าง)ป้ายโรงแรมแกรนด์
หลวงพระบาง
ประสูติเมื่อ : 1
กุมภาพันธ์
2433
ณ วังสีสุวันนะหอคำ
ใต้วัดมหาธาตุ เมืองหลวงพระบาง
การศึกษา : เรียนประถมศึกษาที่หลวงพระบาง
หรือ ที่เรียกว่าโรงเรียนฝรั่ง
–
ลาว (Ecole
Franco Laotiane)
ศึกษาต่อที่วิทยาลัยชาชเสอลูบโลบา
(Collége
Chasseloup Laubat)
ที่ไซ่ง่อน เป็นเวลา
1
ปี แล้วศึกษาต่อที่โรงเรียนอาณานิคม
(Ecole
Coloniale)
ประเทศฝรั่งเศสที่กระทรวงอาณานิคมตั้งขึ้น
เพื่อฝึกอบรมบุคลากรเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองหัวเมืองขึ้น
จากนั้นพระองค์ศึกษาต่อ ที่วิทยาลัยมงเตย์ (Lycée
Montaigne)
หลังจากสำเร็จการศึกษาได้กลับมาบวชเป็นภิกษุ ที่วัดหนองช้างแก้ว
เมืองเชียงแสน ลาสิกขาบทแล้ว ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงคำแว่น
พระราชธิดาเจ้าสักรินทร์ (คำสุก) และเจ้าหญิงคำปิ่น
รูปเจ้าเพ็ดชะราช ตั้งแต่สมัยเด็ก
ตอนเป็นอุปราช และเป็นคณะลาวกู้ชาติ
การทำงาน : พ.ศ.2457
เริ่มทำงาน เป็นผู้แต่งหนังสือ
ที่พระคลังมหาสมบัติ ของเจ้าศรีสว่างวงศ์
ปลายปี นั้น การ์นิเยร์ (M.
Garnier)
ผู้สำเร็จราชการหัวเมืองลาว
(Rèsident
Supérieur du Laos)
ได้มาทูลเจ้าอุปราชบุนคง ขอไปทำงานกับเขา
ที่เวียงจันทน์
เจ้าเพ็ดชะราชจึงมีโอกาสเดินทางไปทุกแขวงของลาว ซึ่งทำให้รู้กลวิธีการปกครองของฝรั่งเศส
และได้รับรู้ปัญหาของคนลาวทั่วประเทศ
พ.ศ
2462
ได้รับแต่งตั้ง จากการ์นิเย
ให้เป็นอธิบดีกรมการปกครอง ในโอกาสนี้ เจ้าเพ็ดชะราชได้ปรับปรุงการจัดองค์กรการปกครอง
กำหนดให้ข้าราชการมีชั้นยศ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์
และจัดให้มีระบบสวัสดิการ รวมทั้งได้ก่อตั้งโรงเรียนรัฐประศาสน์ลาว
สอนวิชากฏหมายและการปกครอง
เจ้ามหาชีวิต เจ้าศรีสว่างวงศ์
แห่งนครหลวงพระบาง
พ.ศ
2484
เจ้าศรีสว่างวงศ์โปรดเกล้าฯ
ตั้งเจ้าราชภาคิไนยเพ็ดชะราช ขึ้นเป็นเจ้ามหาอุปราช
แห่งราชอาณาจักรหลวงพระบาง และยังได้มีพระราชโองการในวันเดียวกัน
ให้ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีหอสนามหลวง (เทียบได้กับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี)
ช่วงเวลานั้นกระแสชาตินิยม
ได้แพร่หลายในอินโดจีน ขบวนการกอบกู้เอกราชได้ก่อตัวขึ้น
บรรดาผู้รักชาติของลาวส่วนใหญ่ ได้รวมตัวภายใต้ร่มธงของ
"คณะกู้อิสรภาพ"
ที่เจ้าเพ็ดชะราชได้ก่อตั้งขึ้น
รูปทั่วไปของโรงแรมแกรนด์ หลวงพระบาง
พยายามรักษาสถาปัตยกรรมแบบโบราณ
เดือนตุลาคม
2488 เจ้าเพ็ดชะราชได้ประกาศตั้งรัฐบาลลาวอิสระที่เวียงจันทน์
ปลดปล่อยประเทศออกจากฝรั่งเศส
เดือนมกราคมในปีเดียวกันเจ้าเพ็ดชะราชพร้อมด้วยคณะรัฐบาลลาวอิสระจำนวนหนึ่ง
เดินทางไปหลวงพระบาง เพื่อเจรจาตกลงกับเจ้าศรีสว่างวงศ์
เรื่องเอกราชของลาว แต่ฝรั่งเศสยึดเวียงจันทน์คืนได้ในเดือนเมษายน
พ.ศ 2489 ทำให้เจ้าเพ็ดชะราช
อพยพหลบภัยไปมาอยู่ประเทศไทย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2489
และเดือนธันวาคม พ.ศ 2489
ได้รับเชิญให้เป็นประมุขของขบวนการลาวอิสระพลัดถิ่นหรือคณะกู้ชาติในกรุงเทพฯ
เดือนมีนาคม พ.ศ 2500
ได้เดินทางกลับลาว
เจ้าเพ็ดชะราช กลับไปประเทศลาวได้เพียง
2
ปีก็เสด็จสวรรคตในวันพุธที่
14
ตุลาคม พ.ศ
2502
รวมอายุได้
70
พรรษา ณ ที่พักวังเชียงแก้ว
ในเดือนและปีเดียวกันนี้ เจ้าศรีสว่างวงศ์ก็ได้เสด็จสวรรคตเช่นเดียวกัน
ชาวลาวเรียกเจ้าเพ็ดชะราชว่า
“บุรุษเหล็กของลาว”
ท่านอาจารย์ชาญวิทย์เขียนถึงตอนนี้ว่า.... “วังเชียงแก้ว”
วันนี้ช่างเงียบเหงา เวิ้งว้าง โดดเดี่ยว
ผู้เขียนนึกถึงคำประกาศของเจ้าเพชรราชที่มีต่อประชาชนลาวเมื่อครั้งลี้ภัยอยู่กรุงเทพฯว่า..”ข้าพเจ้า
เจ้าเพชรราช ขอประกาศให้พี่น้องชาวลาวทั่วพระราชอาณาจักรทราบว่า
ข้าพเจ้าได้อพยพจากบ้านเกิดเมืองนอน
มาพึ่งบรมโพธิสมภารของราชอาณาจักรไทยเป็นเวลาเกือบ
11
ปีแล้ว
มาบัดนี้คณะผู้แทนรัฐบาลและคณะผู้แทนพี่น้องลาวทั้งประเทศ
ได้พร้อมกันมาเชิญข้าพเจ้ากลับคืนสู่ประเทศเพื่อร่วมไม้ร่วมมือกับพี่น้องชาวลาวทั้งปวงช่วยกันสร้างประเทศให้วัฒนาถาวรสืบไป
ซึ่งเป็นความปรารถนาอันสูงสุดของข้าพเจ้าแต่ดั้งเดิม”
นี่คือวังเชียงแก้วของเจ้าเพ็ดชะราช
อยู่ในบริเวณโรงแรมแกรนด์ หลวงพระบาง
อาจารย์ชาญวิทย์กล่าวไว้อีกว่า ....
สำหรับประเทศลาวแล้ว วังเก่าๆ
แม่จะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ก็จริงแต่บางที
มันก็ไม่แปลกนักหากวันหนึ่งจะมีสถานภาพเพียงแค่อาคารหลังหนึ่งภายในโรงแรมที่บริหารโดยชาวต่างชาติ
ประเทศลาววันนี้ไม่มีกษัตริย์ในฐานะประมุข
แต่มีประธานประเทศกับพรรคคอมมิวนิสต์ลาวที่มีอำนาจสูงสุด
ดังนั้นสิ่งตกค้างต่างๆของพระมหากษัตริย์ ทั้งวัง อนุสาวรีย์
ข้าวของเครื่องใช้
จึงมีสถานภาพที่สูงต่ำดำขาวไปตามข้อกำหนดจากพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น....
อาคารด้านขวามือ(ช้ายของรูปนี้)ของวังเชียงแก้วเป็นโรงเลี้ยงม้ากับวัวของสมัยโบราณ
(จากคำบอกเล่าของผู้เฝ้าอาคาร)
วังเชียงแก้ว หรือโรงแรมแกรนด์
หลวงพระบางแห่งนี้ เป็นโรงแรม 5 ดาว
ตั้งอยู่ชานเมืองจึงมีผู้เข้ามาพักไม่มากนักเมื่อเทียบกับโรงแรมหรือรีสอร์ท
หรือ “เฮือนพัก”
ต่างๆที่อยู่กลางเมืองหลวงพระบาง
แต่ก็ทำการโปรโมทโดยจัดกรุปทัวร์จากต่างประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ท่านที่สนใจสามารถเปิด internet
เสริชหาข้อมูลได้เลย
การมาหลวงพระบางของผมนอกจากจะรับรู้เรื่องราวปัจจุบันของสภาพเมืองมรดกโลกและชุมชนชนบทแล้ว
ผมยังได้มาสัมผัสประวัติศาสตร์เพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องลึกซึ้งกับไทยมาช้านาน
และส่งผลไม่มากก็น้อยต่อความสัมพันธ์
และทัศนคติของคนในปัจจุบัน
การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้ผมเที่ยวสถานที่ต่างๆของลาวอย่างมีความรู้สึก
มีน้ำหนัก
และเคารพความเป็นชนชาติของเขาที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด
--------------------------------
แหล่งข้อมูล: 1)
http://www.pakxe.com/home/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=880
2)
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3676160/K3676160.html
pantip
3) The Mekong: From Dza Chu-Lancang-Tonle Thom
to Cuu Long, บรรณาธิการโดย
ชาญวิทย์
เกษตรศิริ อัครพงษ์ ค่ำคูณ