022 กำลังแปรงกระดูก


เรากำลังแปรงกระดูก ไม่ใช่ตัวเรา ยิ่งแปรงก็ยิ่งเกิดความห่างเหินในตัวทุกที

 เมื่อคืนก่อนนอน ได้อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อขัดเกลาจิตใจตนเอง และตามที่ตั้งใจก่อนจะเดินทางไปอินเดีย ซึ่งพี่โยคีบอกแต่เพียงอยากให้ไปเกิดใหม่ทางจิตที่นั่น ซึ่งก็ไม่เข้าใจนัก แต่คิดว่าการอ่านหนังสือ ศึกษาธรรมไป ติดขัดสงสัยก็จะถามพี่โยคีเอา อย่างน้อย ก็จะได้มีพื้นฐานติดตัวไปบ้าง ถ้าการไปอินเดีย สร้างความรู้สึก เหมือนเกิดใหม่ ตามที่พี่เขาบอก ก็จะได้เกิดมาแล้วไม่โง่ทันทีอีก

 การหลับในขณะจิตเป็นกุศล หลับสบาย เหมือนไม่มีสิ่งตกค้าง จำได้ว่าพี่โยคีให้ ตั้งสติ รู้กายใจ วางทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อนปิดสวิตซ์ หลับลง

เช้าขึ้นมา ยังอยากอ่านหนังสือธรรมะ ต่อ เปิดหน้าไหน ก็จะอ่านตรงนั้น เพราะที่จริง ผู้เขียนก็มักจะอ่านหนังสือซ้ำๆ หลายรอบอยู่แล้ว เปิดมาเจอหน้า สติปัฏฐาน ๔ ที่คัดลอกพระราชดำรัส ขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เรื่องกาย เวทนา จิต ธรรม

 ความจริงผู้เขียนรู้น้อย ระหว่างอ่านไป ก็คิดว่าถ้าสงสัย จะเก็บไปถามพี่โยคี เมื่ออ่านจบผู้เขียนก็มีคำถามมากมาย เช่น การตามรู้กายขั้นละเอียดมากๆ เราทำได้หรือ มันเหมือนตามเห็นมากกว่าตามรู้ เช่นตามดการเดิน แล้วเกิดธรรมะอะไรในใจหรือ เดินแล้วไงนะ แล้วเดี๋ยวเราก็เปลี่ยนเป็นทำอย่างอื่นอีกแล้ว ใจจะตามไหมหรือ เป็นต้น ก็คงต้องลองทำดู

 จากนั้นได้ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน ขณะนั้นเองที่กำลังแปรงฟัน ก็ระลึกถึงข้อสงสัย อาการของจิต ว่าถ้าเรารู้ตัวอย่างจดจ่อจะมีความรู้สึกอย่างไร เมื่อจิตถูกดึงมาอยู่ที่มือที่กำลังขยับแปรงอยู่ เสียงแปรงกระทบฟัน กึกก้องในโสตประสาท มือขยับแปรง เสียงแปรงปัดฟัน ทันใดผู้เขียนก็บังเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 เรากำลังแปรงกระดูก ไม่ใช่ตัวเรา ยิ่งแปรงก็ยิ่งเกิดความห่างเหินในตัวทุกที เกิดอาการแบบนี้จนจบ

 เมื่อเงยหน้ามองกระจก ที่เคยปรากฏใบหน้าของตน สบตากับเงาในกระจก แต่คราวนี้ เมื่อจ้องดวงตา กลับเกิดเห็นเป็นดวงตาที่ ปราศจากลูกตา กลวงโบ๋ เป็นภาพในจิตสำนึก ไม่ใช่ภาพผีในกระจก เหมือนในหนัง

  สำรวจใจดู เกิดความสลดขึ้นมาทันที เท่านี้เองหรือกับกายหนึ่ง ที่คิดว่าเป็นสมบัติของเรา ภูมิอกภูมิใจในอัตภาพที่ได้รับ หวงแหน ราวกับจะยึดไว้ แม้ด้วยคิดจะเอาไว้สร้างบารมีนานๆก็ตาม ที่สุด ก็ต้องสลายอยู่ดี

  ขอบันทึก กับสิ่งที่เกิดขึ้น ในอีกวันที่ มีความคิดเปลี่ยนไปค่ะ

 โยคีน้อย

หมายเลขบันทึก: 162994เขียนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2008 10:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

โยคีน้อย

สาธุกับการตามดูจิตอย่างต่อเนื่อง อยู่ในเส้นทางของสติปัฏฐานแล้วครับ

การปฏิบัติธรรมหรือทำอะไรก็ตาม หากทำอย่างไม่ลดละ ต่อเนื่อง ย่อมเห็นผลในที่สุด

ดูแล้ว ต้องได้รู้อะไรครับ

สติมา(ทัน) ปัญญาจึงเกิด

แม้ความสลดใจที่เกิด ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เห็นก่อนหน้านั้น

ล้วนเป็นการแกว่งของจิตทั้งนั้น สุดท้ายก็ไม่พ้นการเป็นอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา

สติต้องมาให้ทันครับ จะได้รู้ได้เร็ว ปรับสมดุลย์ได้เร็ว

เหมือนกับตราชั่งที่ยกให้คุณบางทรายฟัง

มีการดีดกลับของอารมรณ์ซึ่งมีทิศทาง 2 ด้านที่ตรงกันข้ามกัน

เห็นกุศล ทำให้เกิดอกุศล

เห็นอกุศลทำให้เกิดกุศล

ผู้ที่รู้กลไกของจิต ไม่ค่อยน่าห่วงเพราะปรับได้ แต่คนทั่วไปที่ไม่ทราบ จะเกิดการแกว่งมาก เป็นจุดกระทบน้ำที่แม้เกิดเพียงเล็กน้อยแต่มีวงกระทบเป็นวงไปกว้างไกลได้

ยังต้องยึดหลัก 3 ประการนะครับ ทำแต่กุศล อย่าทำอกุศลและทำใจให้ผ่องใส

ดูกายในกาย

ดูเวทนาในเวทนา

ดูจิตในจิตและ

ดูธรรมในธรรม

อยู่ในอิริยาบทในชีวิตประจำวันและ ในทุกๆ วันครับ

เจริญสุขนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

สาธุ  สาธุ  สาธุ

 กับการินิจฉัยธรรม ที่เกิดกับโยคีน้อย

  สาธุ  สาธุ  สาธุ

โยคีน้อย

สวัสดีครับคุณตันติราพันธ์

                   ถ้าทุกคนศึกษา...แล้วนำปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้...โลกนี้คงสงบสุขนะครับ

                                                   ขอให้โชคดีครับ

สวัสดีค่ะนายช่างใหญ่

  การปฏิบัติธรรมใครทำใครได้จริงๆ บางอย่างมันบอกกันไม่ได้ และถ้ามีพี่เลี้ยงคอยแนะก็ยิ่งจะดี เพราะให้เราวิเคราะห์ความก้าวหน้าตัวเองได้ เหมือนนายช่างใหญ่ว่า ยิ่งวิเศษขึ้นไปอีก ถ้านำมาปรับใช้ชีวิตประจำวันขอบคุณมากๆค่ะ

ธรรมะอยู่ที่ใจครับ  ลุงเอกไม่ค่อยมีเวลาอ่านสักเท่าไร  แต่วางใจไว้ข้างหมอนทุกครั้งเวลานอน  จึงไม่มีเรื่องเก่าย้อนมาในจิต  การนิรมิตจึงไม่เกิดขึ้น

ทุกข์ของคนอยู่ที่ใจ  เฝ้าแต่ทุกข์  เฝ้าแต่กังวล  ทุกหนแห่ง 

 แล้วเมื่อไรมนุษย์จะเกิดสุข  ทุกๆคนหนอ

ฝากความระลึกถึงทุกๆคนที่มีธรรมะอยู่ในหัวใจด้วยครับ   

สวัสดีค่ะลุงเอก

 ถ้าทำได้อย่างลุงเอก ถือว่าโชคดีมากแล้ว การวางทุกอย่างได้ก่อนหลับตา เป็นผู้ได้เข้าถึงธรรมะ

  แต่บันทึกสั้นๆของลุงเอกนี้ คงกระทบใจ ใครหลายๆคนให้ได้คิด ถือเป็นแนวปฏิบัติ ที่ไม่ต้องดิ้นรนมากมายค่ะ

ขออนุโมทนาบุญกับลุงเอกด้วยความเคารพค่ะ

วางทุกอย่างก่อนหลับตา ถ้าจะดีนะค่ะ ขอบคุณค่ะ

ความทุกข์  เรามักจะแบกมันไว้บนบ่า  จนเอียงก็ยังไม่รู้สึกตัว และวางลงไม่ได้สักที

เพราะไม่รู้จักวาง นี่เอง 

ขอบพระคุณค่ะ

สวัสดีค่ะครูเอ

      คุณพลเดชเคยสอนวิธีปล่อยวางง่ายๆค่ะ ถ้าเราไม่รู้ว่าวางแล้วมีความรู้สึกอย่างไร ท่านว่าให้ทำอย่างนี้ค่ะ

 กำมือให้แน่น ดูซิ่รู้สึกอย่างไร ทั้งตึง ทั้งเจ็บใช่ไหม

จากนั้นค่อยๆแบมือออก คราวนี้ ดูที่ใจเรานะคะว่ารู้สึกอย่างไร (ลองทำแล้วค่อยตอบ)

ถ้ายังวางทุกข์ไม่ได้ เพราะคิดว่ามันต้องเป็นของเราอยู่เช่นนี้ คราวนี้ลองหาอะไรมากำในมือดูนะคะ แล้วแบมือออกไปให้สุดนิ้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองทำดูแล้วค่อยตอบก็ได้ค่ะ

 ท่านสอนแบบนี้ แล้วเลยใช้ เป็นอุบายในการปล่อยวางใจ ได้ทุกทีค่ะ

ขอบคุณครูเอที่เข้ามาแลกเปลี่ยนนะคะ

 

ขอบคุณค่ะ  พี่ตันติราพันธ์

รู้สึกดี เมื่อปล่อย คลายมือที่กำไว้  หายใจก็โล่งขึ้น ไม่อึดอัดใจ ถ้าหายได้อยู่ในที่ที่สงบคงจะดีกว่านี้นะค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

 

 ค่ะ ธรรมะ เป็นเรื่องต้องทดลองทำเองค่ะ ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์เสียอีก เราฝึกปล่อยมือ ปล่อยจากใจ ทีละนิดๆๆๆเดี๋ยวก็จะไมมีอะไรหลงเหลือในใจแล้ว วันนั้น เราจะเกิดวินิจฉัยที่ถูกต้อง

ขอเป็นกำลังใจ และอนุโมทนาบุญกับครูที่สอนเรานะคะ คือท่านพลเดช มีข้อสงสัย ก็สอบถามท่านเลยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท