การทำงานแบบบูรณาการ
เมื่อมีหลายหน่วยงานลงมา เราจึงถามเรื่องการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ได้คำตอบว่ามี 2 รูปแบบ
ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบที่สอง ซึ่งถือว่าเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เพราะทีมงานในพื้นที่ที่ทำงานให้แต่ละหน่วยงานก็เป็นทีมงานชุดเดียวกัน
พัฒนาชุมชนเสริมว่า การบูรณาการโดยยึดพื้นที่เป็นตัวตั้งมี 3 ลักษณะ
เราตั้งข้อสังเกตในใจว่า แสดงว่า การบูรณาการจะทำได้ดี ก็ต่อเมื่อพื้นที่มีแผน มียุทธศาสตร์เป็นตัวตั้งอยู่แล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับสินธุ์แพรทอง แต่ในหลายพื้นที่ การบูรณาการคงไร้ทิศทางแน่ถ้าไม่มีแผนหรือยุทธศาสตร์ที่มาจากพื้นที่เป็นแกนหลักอยู่ก่อน
พ่อเล็กเสริมว่า มีหุ้นส่วนอีกประเภท คือ หุ้นส่วนการเรียนรู้ จำเป็นต้องมีการจัดการความรู้ หน่วยงานต่างๆมาร่วมแบ่งปันความรู้ หน่วยงานจะมีที่ยืน มีผลงาน (พ่อเล็กคงหมายถึง การแบ่งปันผลงานด้วย !! เป็นประเภทบูรณาการความพยายามแล้วแบ่งปันผลงาน...น่าจะ win-win ดี.. ยิ่งหน่วยงานบูรณาการกันได้ พื้นที่ก็ไม่ต้องปวดหัวกับหลายงาน ..อันนี้เราคิดเอง)
พ่อเล็กบอกว่า เครือข่ายสินธุ์แพรทองจะทำงานทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่องที่แก้ง่ายๆก่อน แล้วค่อยขยับไปเรื่องยาก เช่น ในเรื่องสวัสดิการ ก็เริ่มจากการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน (เราตาโต เพราะสนใจเรื่องขบวนการจัดสวัสดิการอยู่ ดีใจที่พ่อเล็กเห็นว่า เรื่องที่ดินทำกิน เป็นเรื่องสวัสดิการ แต่แปลกใจว่า การแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ทำไมจึงเป็นเรื่องง่าย.. แต่เวลาไม่เอื้อให้ซักถามประเด็นนี้ในเชิงลึก)
ส่วนใหญ่ชุมชนมักตีความสวัสดิการค่อนข้างแคบโดยเข้าใจ “สวัสดิการ” จากรูปแบบที่เขาจัดๆกันอยู่เหมือนๆกัน เช่น การออม เบี้ยชราภาพ ฌาปนกิจ แต่เราคิดว่า แต่ละพื้นที่ต้องการสวัสดิการต่างกัน ปัญหาสำคัญที่สุดของชุมชนอยู่ตรงไหน การเข้าไปแก้ปัญหาตรงนั้นได้นั่นแหละ คือ การจัดสวัสดิการที่มีคุณค่ามากที่สุด
… แต่คนนอกพื้นที่ จะบังอาจไปตั้งนิยามแทนคนในพื้นที่ได้อย่างไร ทั้งที่บางทีก็น่าจะยอมให้ “เสนอวิธีมองต่าง” ได้บ้างเหมือนกัน...
เราจึงทึ่งกับสินธุ์แพรทองที่ตีโจทย์ที่ดินทำกินว่าเป็นเรื่องสวัสดิการ ทึ่งกับบางชุมชนในภาคเหนือที่จัดเรื่องการประกันภัยพืชผลเป็นเรื่องของการจัดสวัสดิการ ทึ่งกับบางพื้นที่ที่มุ่งแก้ปัญหาหนี้สิน เพราะเหล่านี้เป็นปัญหาวิกฤติจริงๆ แต่การจัดสวัสดิการเหล่านี้ก็ไม่ง่ายเลยสำหรับชุมชน
เราลองถามเรื่อง การบูรณาการองค์กรการเงินชุมชน
ภาคีต่างๆเห็นพ้องต้องกันว่า “ไม่จำเป็น” เพราะวัตถุประสงค์แต่ละกองทุนไม่เหมือนกัน ด้วยกฎหมายที่รองรับก็ไม่สามารถบูรณาการกันได้ ข้อดีของการมีหลายกองทุนก็เหมือนมีหลายขา หากล้มสักขา ชุมชนก็ยังพอยืนอยู่ได้ ในทางตรงข้าม ถ้าหมู่บ้านมีหลายกองทุนและบริหารจัดการได้ ก็แสดงว่า เก่ง
หากจะบูรณาการ ก็อาจบูรณาการดอกผลเป็นลักษณะของกองทุนสวัสดิการได้ เช่น หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งกองทุน
สวัสดีครับอาจารย์ครับ
น่าสนใจงานของอาจารย์ครับ
ขอบคุณคุณบางทรายมากค่ะ
สำหรับบางชุมชนที่ตั้งรับไม่ทัน การเรียนรู้เพื่อเริ่มจัดกระบวนของตัวเองตามที่คุณบางทรายเล่าให้ฟังน่าจะช่วยให้ชุมชนจัดระบบงานได้ดีขึ้นค่ะ
สวัสดีคะอาจารย์ปัท
น่าสนใจที่ว่า การบูรณาการองค์กรการเงินชุมชน
ภาคีต่างๆเห็นพ้องต้องกันว่า “ไม่จำเป็น”
ภาคี ที่ว่า เป็นเจ้าของกองทุนต่าง ๆ ในชุมชนหรือเปล่าคะ? หากใช่คงเป็นคำตอบให้ทุกชุมชนไม่ต้องพยายามบูรณาการองค์กรการเงินอย่างที่ผ่านมา เพราะเจ้าของกองทุนเห็นว่า "ไม่จำเป็น"
ขอคำแนะนำด้วยคะ
รัช
สวัสดีค่ะ น้องรัช
ภาคีที่ว่าเป็นหน่วยงานที่ทำงานกับชุมชน กับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของกองทุนบางกองทุนค่ะ
พี่ว่า ถึงที่สุด ต้องทำให้ "ชาวบ้านเป็นเจ้าของกองทุน" ส่วนหน่วยงานเป็นพี่เลี้ยงก็พอค่ะ จากนั้น ชาวบ้านเองจึงจะเป็นคนตอบว่า ควรบูรณาการกองทุนหรือไม่
ฉะนั้น ก่อน "บูรณาการกองทุน" คงต้อง "โอนกองทุน" ไปให้ชาวบ้านเป็นเจ้าของก่อนกระมังคะ แต่จะทำได้หรือเปล่าคงต้องมีการศึกษาข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ รวมถึงเตรียมความพร้อมของชาวบ้านด้วย....
พูดคงไม่ยาก... เป็นนักวิชาการก็เบื่อตัวเองตรงนี้