tumเขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2549 15:14 น. ()
แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2555 13:47 น. ()
การสร้างกลไกการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาท้องถิ่น ระดับ ตำบล-อำเภอ
พลังท้องถิ่น :
พลังร้อยรัดชุมชน
“พลังท้องถิ่น”
เป็นพลังสำคัญที่ร้อยรัดชุมชนท้องถิ่นเอาไว้ได้
ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะมองข้าม
การทำความเข้าใจเรื่องพลังท้องถิ่นต้องเริ่มจากสมมติฐานว่า
ในชุมชนท้องถิ่นมีศักยภาพเป็นทุนเดิมอยู่
ทำให้คนในชุมชนท้องถิ่นนั้นอยู่รอดมาได้
โครงการวิจัยพัฒนากลไกการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาท้องถิ่น
ระดับตำบล-อำเภอ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ได้เน้นกระบวนการเรียนรู้เพื่อค้นหาและรื้อฟื้นพลังท้องถิ่น ซึ่งพบว่า
“พลังท้องถิ่น”
ส่วนหนึ่งยังคงเป็นศักยภาพในท้องถิ่น (เป็นพลังที่แฝงอยู่
สามารถนำมาใช้ประโยชน์หรือใช้เพื่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นได้
แต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้)
และอีกส่วนหนึ่งเป็นพลังที่เคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง
อันเป็นพลังสำคัญที่ทำให้คนในชุมชนท้องถิ่นที่อยู่รอดและสามารถจัดการตัวเองได้
ซึ่งประกอบด้วย 4 ฐานสำคัญ คือ
๑) ทรัพยากร
เป็นพลังท้องถิ่นที่สำคัญในอันดับแรก ๆ
ที่เชื่อมโยงไปสู่ฐานพลังท้องถิ่น
ด้านอื่น ๆ เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตความรู้
สร้างระบบคุณค่าและความเชื่อ
รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายทางสังคมเพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นสามารถอยู่ร่วมกัน
ดูแลรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
เคารพให้คุณค่าว่าเป็นจุดกำเนิดหรือจุดเริ่มต้นของรูปแบบชีวิตอื่น ๆ
ด้วย
ฐานทรัพยากรยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเข้มแข็งและอ่อนแอของพลังท้องถงิ่นในแต่ละยุคที่ผ่านมาของชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย
การรื้อฟื้นพลังท้องถิ่นได้ใช้กิจกรรมผ่านประสบการณ์สร้างแรงบันดาลใจ
เกิดอุดมการณ์ในการรักษาทรัพยากรที่พวกเขามีอยู่
และต้องการถ่ายทอดระบบความรู้ภูมิปัญญาไปสู่ลูกหลานและคนที่สนใจ
ฐานทรัพยากรที่วิทยากรกระบวนการและชาวบ้านสามารถรื้อฟื้นคืนมา ได้แก่
การอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ป่าชุมชน พันธุ์ข้าวพื้นเมือง การปลูกต้นคล้า
การปลูกกล้วย การใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ เป็นต้น
๒) เครือข่ายทางสังคม
เป็นพลังที่ยึดโยงชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นเอาไว้ด้วยกันเป็นเครือข่าย
เช่น การเป็นเครือญาติ การมีระบบความเชื่อร่วมกัน
การมีวัฒนธรรมร่วมกัน เป็นต้น
ลักษณะเด่นที่สร้างการเป็นชุมชนที่ผูกมัดกันแน่นแฟ้น คือ
การมีปฏิสัมพันธ์กันแบบพบหน้า (Face-To-Face
Interaction) โดยการจัดให้มี “พื้นที่” และ “โอกาส”(Time and
Space) เพื่อให้คนในชุมชนมีกิจกรรมแบบพบปะเห็นหน้ากันได้
บางชุมชนมีแรงยึดเหนี่ยวในลักษณะการเป็นเพื่อน
การเป็นพวกพ้องเดียวกันและการเป็นเครือญาติเดียวกัน
การรื้อฟื้นพลังท้องถิ่นได้ใช้วิธีการสืบสาวประวัต
ศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อดึงความสัมพันธ์ทางสังคมในแนวราบ
นำไปสู่การพูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกัน
มีการสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการและต่อเนื่อง
จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ส่วนชุมชนที่เป็นคนอพยพมาจากพื้นที่อื่น
จะรวมตัวกันเป็นเครือข่ายค่อนข้างเป็นทางการที่ผูกโยงกับผลประโยชน์และอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น
การรื้อฟื้นพลังท้องถิ่นได้ใช้กิจกรรมที่มีการจัดการทุนร่วมกัน
มีการสร้างระบบกฎเกณฑ์ที่สามารถยึดโยงเครือข่ายที่มีความสัมพันธ์แบบหลวม
ๆ เอาไว้ได้
เครือข่ายทางสังคมที่วิทยากรกระบวนการและชาวบ้านสามารถรื้อฟื้นคนมา
ได้แก่ ความสัมพันธ์แนวราบในการทำงานแบบกลุ่มเพื่อนกัลยาณมิตร
ตลาดชุมชน การงดสูบบุหรี่ เครือข่ายกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออมทรัพย์
อาหารหมูลอยฟ้า การร่วมบุญประเพณีชาวบ้านในต่างพื้นที่ เป็นต้น
๓) ระบบความรู้
ในพื้นที่วิจัยส่วนใหญ่ระบบความรู้มีลักษณะเป็นกระบวนการถ่ายทอดทาง
สังคม (Socialization)
ซึ่งมักจะเป็นการถ่ายทอดแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดจากการได้รู้ ได้เห็น
ได้ยิน ได้สัมผัส แล้วซึมซับเอาความรู้เหล่านั้นไว้ในตัวเอง
จากนั้นก็จะใช้วิธีการเดียวกันถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ต่อไป
อันเป็นวิธีการจัดการความรู้ที่ทรงพลังที่สุดและสอดคล้องกับวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
การรื้อฟื้นระบบความรู้ของชุมชนท้องถิ่นได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้เกิดปัญญา
ให้ชาวบ้านสามารถคิดด้วยความรู้สึกอิสระปราศจากความกลัว
ได้ค้นพบสิ่งที่เป็นความจริงด้วยตนเอง ไม่กดดัน
เรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกสนาน มีสุนทรีภาพ สนใจความรู้ที่สดใหม่
และไม่ถูกครอบงำจากประสบการณ์ในอดีต
ใช้กิจกรรมผ่านประสบการณ์ให้ผู้เรียนรู้ได้ผ่านสัมผัสทั้ง 5
เพื่อให้เขาเข้าไปอยู่ในบรรยากาศและเงื่อนไขที่เหมาะสม
สามารถเชื่อมต่อความรู้ที่ฝังลึกในตนเองกับความรู้ภายนอก
เป็นการยกระดับความรู้ของตน
นำไปสู่การคิดและตัดสินใจที่ถูกต้องบนฐานจริยกรรม
ระบบความรู้ที่วิทยากรกระบวนการและชาวบ้านรื้อฟื้นคืนมา ได้แก่
การทำสมาธิ การเรียนรู้ภายในตนเอง
การเคารพภูมิปัญญาชาวบ้านและภูมิปัญญาของตนเอง
สร้างความรู้จากการปฎิบัติจริง พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ระบบนิเวศ
และความสัมพันธ์ของคนกับป่า เป็นต้น
๔) ระบบคุณค่าและความเชื่อ
เป็นเครื่องร้อยรัดให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถดำรงอยู่ได้ และทำ
หน้าที่กำกับควบคุมพฤติกรรมของคนในชุมชนให้อยู่ในครรลอง
แสดงออกมาในรูปของวัฒนธรรม บุญประเพณ๊ ความเชื่อ พิธีกรรมต่าง ๆ
และเปิงบ้าน
การรื้อฟื้นระบบคุณค่าและความเชื่อได้ใช้วิธีการสืบสาวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและกิจกรรมผ่านประสบการณ์
เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ของพลังท้องถิ่นทั้ง 4 ฐาน
ระบบคุณค่าและความเชื่อที่วิทยากรกระบวนการและชาวบ้านรื้อฟื้นคืนมา
ได้แก่
บุญประเพณีที่เชื่อมโยงกับวิถีการผลิตซึ่งบางชุมชนเลิกปฎิบัติไปแล้ว
เช่น บุญคูนลาน บุญกุ้มข้าวใหญ่ บุญบั้งไฟ เป็นต้น
ประเพณีที่แสดงความสัมพันธ์ของการเป็นเครือญาติเดียวกันและให้ความเคารพกตัญญูต่อผู้อาวุโส
เช่น การรดน้ำผู้เฒ่าผู้แก่ในวันสงกรานต์ เป็นต้น
พลังท้องถิ่นทั้ง 4 ฐานล้วนมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกัน
ความเข้มแข็งของพลังท้องถิ่นใน
ฐานหนึ่งก็มักจะส่งผลให้เห็นพลังท้องถิ่นในฐานอื่น ๆ
เข้มแข็งตามไปด้วย ในทางตรงกันข้ามถ้าพลังท้องถิ่นฐานใดฐานหนึ่งอ่อนแอ
ก็มักจะส่งผลให้พลังท้องถิ่นฐานอื่น ๆ อ่อนแอตามไปด้วยเช่นกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พลังท้องถิ่นอ่อนแอลง
ล้วนเป็นผลกระทบที่มาจากภายนอก
ซึ่งมักเป็นการพัฒนาตามกระแสหลักที่มุ่งเน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดยไม่ได้คิดว่าเศรษฐกิจเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของมนุษย์
จนละเลยระบบชีวิตของมนุษย์ซึ่งสัมพันธ์กันและกัน
และละทิ้งไม่สนใจระบบนิเวศและวัฒนธรรม อันนำไปสู่วิกฤติการณ์ด้านต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นตามมาอย่างไม่รู้จบสิ้น รวมทั้งวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับ
“พลังท้องถิ่น” ด้วย
แต่ชุมชนใดมีพลังท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
ก็จะสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้อย่างมีความสุขท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอกได้
.
ส่วนหนึ่งจากเอกสารประกอบการประชุมสรุปบทเรียน
“กลไกและการเรียนรู้ของชุมชนเพื่อการพึ่งตนเอง”:มองไปข้างหลังเห็นทางที่ผ่านมา
มองไปข้างหน้าเห็นสายธารปัญญาของชุมชน โดย
โครงการวิจัยพัฒนากลไกการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาท้องถิ่นระดับตำบล-อำเภอ
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549 ณ วัดบ้านโคกกลาง ตำบลหว้าทอง
อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
|
จากข้อสรุปดังกล่าวและบรรยากาศของงานในวันนี้เราเห็นความหลากหลายของผู้คนที่มาร่วมงานมีทั้งเด็กประถม-มัธยม
ไปจนถึงผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่
ที่พร้อมจะพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่มานำเสนอ
เพราะต่างมีส่วนร่วมอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น
และพวกเขาบอกตรงกันอย่างหนึ่งว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐ์เครื่องอัดปุ๋ย
การรวบรวมกล้วยชนิดต่าง ๆ
วิธีการปลูกพืช-ผักให้ได้ผลดีในพื้นที่แห้งแล้ง
การใช้ประโยชน์จากไฝ่ กิจกรรมบ้านดินของเด็ก ๆ
การสร้างตลาดชุมชน และอีกหลายอย่าง ล้วนไม่ใช่ผลงานของใครคนใดคนหนึ่ง
แต่เกิดจากการช่วยกันแลกเปลี่ยน-เรียนรู้ และ "จัดการ"ให้เกิดขึ้น
และยังไม่ใช่ที่สุดของความสำเร็จ
เพราะพวกเขาก็ยังต้องเรียนรู้และพัฒนากันต่อไปบนฐานของความสัมพันธ์ที่มี
(ซึ่งน่าจะต่างจากสภาพชนบททั่วไปที่มักเห็นเด็กและผู้สูงอายุเป้นส่วนใหญ่
แต่ที่นี่มีคนทุกรุ่นมาทำกิจกรรมร่วมกัน) |
ความเห็น
ยังไม่มีความเห็น