สังคมชนบทพิการสังคมเมืองเป็นโรคมะเร็ง


เพราะวัฒนธรรมตะวันตกความรุนแรงของค่านิยมวัตถุเป็นตัวจุดฉนวนที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างชนบทกับเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพฯ

                                                             

นับตั้งแต่ไทยได้ทำสนธิสัญญาเบาริ่ง   เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาจากเกษตรกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรม  อันเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงลักษณะของสังคมพื้นฐานคือสังคมชนบท  

ลักษณะของสังคมชนบท   เมื่อก่อนนั้นลักษณะของสังคมชนบทอยู่กันแบบพี่น้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ลักษณะของครอบครัวจะเป็นครอบครัวใหญ่  ชึ่งทำหน้าที่ในการอบรมลูกหลานสอนทางด้านศาสนาคุณงามความดี สอนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ และสมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันทำงานซึ่งเมื่อก่อนนั้นจะประกอบอาชีพเกษตรทำกินในครอบครัว  พ่อ แม่ ปู ย่า  ตา  ยาย ลูกหลานอยู่ด้วยกัน หรือไม่ก็อยู่ในระแวกเดียวกัน  หรือไม่ก็อยู่หมู่บ้านใกล้กัน ชึ่งเป็นสังคมที่อบอุ่น ปัญหาของสังคมก็ไม่มี

นับตั้งแต่ไทยเราได้ทำสนธิสัญญาเบาริ่ง มุ่งเน้นอุตสาหกรรมค้าขายกับชาวต่างชาติทำให้วัฒนธรรมแบบตะวันตกได้เข้ามาในไทยอย่างเต็มที่ อาชีพแบบเกษตรแบบเพื่อทำกินในครอบครัวเปลี่ยนเป็นการทำเกษตรเพื่อเป็นวัตถุดิบให้กับต่างชาติเป็นอู่ข้าวอู่น้ำให้เขาเพียงเท่านั้น   ชาวต่างชาติก็นำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาในไทย การเกษตรก็ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนเพื่อให้ได้จำนวนมากและทันเวลาเป็นเหตุทำให้เกิดการว่างงานของสมาชิกครอบครัวและที่เลวร้ายกว่านั้นราคาที่ได้กลับต่ำเนื่องจากคนชนบทไม่มีการศึกษาทำให้เป็นเหยื่อของพ่อค้าคนกลางที่จ้องจะเอารัดเอาเปรียบซื้อราคาต่ำแต่กลับเอาไปขายในราคาสูงเป็นหลายเท่า   

สัญญานี้ได้นำการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆเข้ามาเร็วเกินไปบวกกับประชาชนไม่มีความรู้ไม่มีการศึกษาผู้มีการศึกษาส่วนมากก็เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองคนร่ำรวย  เป็นสาเหตุให้เกิดการปรับตัวไม่ทันของประชาชนคนจนที่เป็นประชากรส่วนใหญ่    ทำให้เกิดการย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้าสู่เมืองเพื่อหางานทำอันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความพิการของสังคมชนบท    บางหมู่บ้านแทบจะเป็นบ้านร้างมีเฉพาะคนเฒ่าคนแก่และเด็กเท่านั้นที่อยู่คนหนุ่มคนสาวต้องเข้าเมืองเพื่อหางานทำ

ลักษณะของสังคมเมือง     เมื่อผู้คนเข้ามาอยู่รวมตัวกันมากขึ้น  เป็นธรรมชาติที่มนุษย์มีสัญชาตญานเอารอดสูง จึงเกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่มี  อยากอยู่อย่างสุขสบายและทำทุกวิธีที่จะเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ ทั้งถูกวิธีและไม่ถูกวิธี  คนอำเภอเดียวกัน ตำบลเดียวกัน อำเภอเดียวกัน  จังหวัดเดียวกัน  ภาคเดียวกัน ก็ทำเป็นไม่รู้จักกันความรักได้แห้งเหือดหายไป จิตใจของผู้คนก็แข็งกระด้างไม่เหมือนเดิม   ที่สำคัญแข่งกันได้แข่งกันมีแล้วก็นำมาอวดกัน  บางที่ถึงขั้นตั้งใจให้ลูกสาวหาสามีฝรั่งให้ได้เพื่อจะได้สบาย  หรือหาสามีรวย  เพื่อเป็นการสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างรวดเร็วและรวยทางอ้อม  ความรักที่มีต่อกันอย่างบริสุทธิใจนั้นแทบหาไม่มี  บ้างคนที่มาจากต่างจังหวัดเมื่อมาอยู่ในสังคมเมืองก็อายและลืมถึงชาติกำเนิดตัวเองไม่กล้าแนะนำแม้กระทั่งพ่อแม่ผู้มีพระคุณให้สังคมเพื่อนฝูงได้รับรู้เพราะตัวเองนั้นได้ไปสร้างภาพกับสังคมไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริงของตัวเองทั้งนี้ก็เพื่ออยากให้สังคมที่อยู่ยอมรับเท่านั้น  และก็ทิ้งพ่อแม่ไว้ที่บ้านนอกไม่ไปเหลียวแล  เพราะความอ่อนแอทางด้านความคิดของผู้คนเพราะขาดความรู้ความเข้า จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาอีกมากมาย  นี่เป็นเพียงแค่เรื่องของครอบครัวของคนที่ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในสังคมเมือง

           โรคมะเร็งก็คือการมีเนื้อร้ายอยู่ในร่างกายของมนุษย์  ถ้าเทียบกับสังคมแล้วก็คือการที่สังคม มีสิ่งที่ร้ายๆมาอยู่ในสังคม  ทั้งความคิดที่ร้ายๆ   การกระทำที่ร้ายๆ   วาจาที่ร้ายๆ  จิตใจที่ชั่วร้าย  การวางแผนที่ร้ายๆ   ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสังเกตุว่าสิ่งเหล่านี้แสดงออกมาเมื่อมีความต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองทั้งนั้น ผู้คนเดี๋ยวนี้แม้กระทั่งมองหน้ากันก็ทะเลาะกันได้แล้ว  คนข้างบ้านแทบไม่รู้จักกัน  เมื่อก่อนที่ต่างจังหวัดหรือสังคมชนบทถ้าหากมีฟ้าลมฝนตกถ้าหากข้างบ้านตากเสื้อผ้าไว้และไม่อยู่จะเก็บเสื้อผ้าให้ทันทีสมัยนี้ปล่อยเฉยไม่สนใจธุระไม่ใช่  แววตาสายตาของคนยุคนี้ก็เย็นชา

             สังคมชนบทเมื่อถึงวันพระ หรือวันสำคัญทางศาสนา ผู้เฒ่าผู้แก่จะพาลูกพาหลานปวัดทำบุญตักบาท  ฟังเทศน์ฟังธรรม  มาสมัยนี้วัดคืออะไรยังไม่รู้เลย  รู้ก็แต่ตอนตายตอนเผาศพ  นี่ยังงัยละค๊ะจะไม่ให้สังคมสมัยนี้เป็นโรคมะเร็งได้อย่างไร  เป็นรอวันจะตายซะด้วยสิ เพราะรุ่นลูกรุ่นหลานก็ได้รับการปลูกฝังค่านิยมที่ผิดๆมาจากพ่อแม่ผู้ใหญ่ทั้งนั้นดีกรีความรุนแรงของโรคมะเร็งนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นมากขึ้น.....

             พ่อแม่สมัยนี้ก็กลัวลูก  การเลี้ยงดูลูกในยุคนี้ก็ไม่เหมือนยุดเก่าที่ปู่ย่าตายายพาทำ  การเลี้ยงลูกของคนยุคนี้จะโอ๋ลูกซะส่วนใหญ่   ไม่เอาใจใส่เลี้ยงดูลูกที่จิตใจจิตวิญญาณแต่เลี้ยงลูกเพียงแค่ร่างกาย

จริงๆแล้วเหมือนเลี้ยงหมูเลี้ยงหมา หรือเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากกว่า  เมื่อถึงเวลาให้อาหารก็หาอาหารมาให้(ภาษาบ้านนอกเรียกว่าเกือข้าวให้หมูให้หมามันกินนั่นเอง)  ลูกเป็นคนนะค๊ะไม่ใช่สัตว์เลี้ยง  ถ้าจะพูดให้ถูกจริงแล้วมันเริ่มต้นจากพ่อแม่   เมื่อเราปลูกสิ่งใดเราก็จะได้สิ่งนั้น  เพราะพ่อแม่ก็มัวแต่หาสิ่งที่มาสนองตัณหาและกิเลสส่วนตัวมากกว่า (ถ้าไม่เชื่อลองใคร่ครวญและคิดให้ดี ให้มองตามความเป็นจริงไม่ให้เข้าข้างตัวเองว่าจริงมั๊ย)   สิ่งที่หามาได้มันไม่คุ้มหรอกถ้าหากเราต้องเสียลูกไป  มันแทบจะไม่มีค่าเสียด้วยซ้ำ  มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าหากเราได้ทุกสิ่งทุกอย่างแต่เราไม่มีความสุข  ครอบครัวไม่อบอุ่นจริงๆแล้วเหมือนตายทั้งเป็นเลยแหละค่ะ   สู้พอเพียงไม่ได้ บริหารชีวิตให้เป็นคิดให้เป็นมองทุกอย่างตามความเป็นจริงไม่ใช่เพ้อฝันแล้วพยายามไขว่คว้าเอามาให้ได้ถึงแม้จะเป็นวิธีที่ไม่ถูก้องก็ตาม   และลืมพื้นฐานของชีวิต    เมื่อตาเรามองฟ้าอย่าลืมว่าเท้าของเรายังติดดินอยู่  ถ้าเท้าเราไม่ติดดินแสดงว่าเราได้ตายไปแล้วคือเป็นวิญญาณนั่นเอง  

            น่าอะเหน็จอนาจใจกับอนาคตของชาติ  คือเด็กๆเยาวชน เนื่องจากพ่อแม่มัวแต่ตอบสนองตัณหากิเลสส่วนตัวโดยไม่ใส่ใจลูกนั้น   และฝากความหวังไว้กับครูที่โรงเรียน  ผิดทำผิดอย่างมากๆ จริงๆแล้ว  คนใดคนหนึ่งต้องอยู่บ้านเป็นพ่อบ้านหรือแม่บ้าน ตามความเหมาะสม  เพื่อดูแลบ้านอบรมสั่งสอนลูก ปลูกฝังความคิดและค่านิยมที่ถูกต้องให้กับลูกละเอียดอ่อนกับลูกในทุกๆเรื่อง   ละเอียดอ่อนนี่ไม่ได้หมายถึงการไม่ทำโทษเมื่อลูกทำผิดเพราะกลัวลูกเสียใจหรือกลัวลูกเจ็บนะ  แต่เป็นการละเอียดอ่อนในสิ่งที่ลูกเป็น  ตอนนี้สังคมเมืองเราไม่เป็นเพียวแค่โรคมะเร็งเท่านั้นนะค๊ะ  แต่เป็นหลายโรครุมเร้าและใกล้จะตายถ้าหากผู้ใหญ่ไม่คิดใหม่ทำใหม่  ม่ต้องไปรอรัฐบาลหรอกเพราะเขาก็ทำเพื่อตัวของเขานั่นแหล่ะ  ไม่ต้องรอนโยบาย  ให้เรามองแค่ที่ปัญหาของเรามองที่บ้านของเรา มองคนที่เราเกี่ยวข้อง  มองลูกๆของเรา  มองคนที่ครองเรือนค่กับเรา  แล้วค่อยๆแก้ (เหมือนเป็นการปิดประเทศไปก่อนแล้วมาใส่ใจพัฒนาคนในประเทศก่อนให้แข็งแกร่งก่อนและจึงเปิดประเทศ) ใครจะช่วยเราถ้าไม่ช่วยตัวเอง  คนเราเมื่อเจอเผือกร้อนยังต้องรีบปัดทิ้งเลย    ถ้าหากต่างคนต่างแก้ โรคร้ายต่างๆก็จะหายไป  เพราะครอบครัวก็เปรียบเสมือนกับเซลล์ในร่างกาย เมื่อเซลล์ในร่างกายแข็งแรงทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง

            เด็กๆเยาวชน ทุกวันนี้ แข่งขันกันแทนที่จะแข่งขันในสิ่งที่ถูกต้องแต่กลับไปแข่งขันในเรื่องการมีเซ็กส์  ใครมีมากกว่ากันคน  คนไหนมีมากนั้นชนะและเป็นที่ยอมรับในเพื่อนฝูงมันเป็นค่านิยมไปแล้ว  หารู้ไม่ว่าโรคเอส์จะตามมาและเป็นภาระสังคมต่อไปเรียกว่าเสียชาติเกิด  โธ่ถ้าหากอนาคตของชาติเป็นอย่างนี้แล้วต่อไปสังคมประเทศชาติของเราจะเป็นยังงัยเนี๊ย   ใครที่ได้อ่านบทความให้ช่วยกันนะค๊ะเพื่อที่สังคมเราจะได้หายจากการเป็นโรคร้าย ช่วยกันมองให้เห็นปัญหานะค๊ะ และเข้าใจปัญหานะค๊ะช่วยลูกหลานของเราช่วยชาติของเรา

           

                                 มีเยอะแยะอีกมากมายที่จะต้องเขียนอีก  เมื่อคิดได้แล้วก็จะมาเขียนให้ท่านได้อ่านต่ออีก  เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะค๊ะ  ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ    ด้วยรักและปราถนาดี

 



ความเห็น (3)

ถูกต้องครับ เรื่องการเลี้ยงลูก ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง...

เห็นด้วยทุกประการ ขอบคุณกับความคิดใหม่ๆ

คุณเก่งมาก

สาระดีๆ เด็กไทยควรอ่าน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท