ย้อนถึงครั้งก่อนที่ตั้งคณะกรรมการโรงเรียนพ่อแม่ แล้วก็มีการแบ่งบทบาทหน้าที่กันไป แต่ละงานเขียนแผนการสอน ระบุรหัสวิชา ครูผู้สอน และออกข้อสอบ รวบรวมส่งที่พี่หม่วย
ขณะเดียวกันพี่หม่วยก็เริ่มด้วยการประชาสัมพันธ์งานให้ผู้รับบริการรู้จัก ทั้งโปสเตอร์ แผ่นพับและสำคัญคือลงไปแนะนำและชักชวนกับผู้รับบริการเองในแต่ละวัน ทั้งในคุณแม่ตั้งครรภ์ ทั้งกลุ่มแม่หลังคลอดและวางระบบการเก็บข้อมูลโดยใช้แฟ้มทะเบียนแยกของแต่ละคนไว้ ต้องบอกว่าตอนนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ประจำหน่วยงานต้องไปอาศัยพึ่งพิงจากที่ห้องอื่นๆ
พอมีกลุ่มที่สนใจสมัครแล้วที่นี้ก็ต้องนัดกันมาเรียนในช่วงบ่าย ก็เริ่มเจอปัญหาตามมา คือต้องนัดทั้งผู้เรียนและผู้สอน แล้วหาสถานที่อันเหมาะสม ทุกอย่างต้องพร้อม แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นในทุกครั้ง ..พี่หม่วยก็แก้ปัญหาด้วยการโทร.นัดผู้เรียนล่วงหน้าก่อนว่ามาแน่นะ แล้วเตรียมขอบัตรคิวไว้ให้เลยแบบ case VIP จากนั้นแจ้งผู้สอนล่วงหน้าว่าจะมี case ในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ยังพบอีกว่าบางครั้งผู้สอนไม่ว่างจริงๆเลย ก็ใครอีกล่ะที่จะสอนได้..พี่หม่วยสอนแทนอีก แล้วลองนึกดูนะคะข้าราชการอย่างเราบ่ายประชุมบ่อยมั้ยคะ กิจกรรมอื่นนอกเหนือจากงานประจำก็มี ภาพที่เราเห็นประจำ คือ พี่หม่วยไม่มาประชุม ถ้ามาก็เข้าช้ากว่าคนอื่น เพราะติดให้บริการโรงเรียนพ่อแม่ จะไปประชุมไหนก็ต้องโทร.เลื่อนนัดด้วย
แล้วโรงเรียนพ่อแม่ไม่แจกอะไรเลยหรือ หนังสือเรียนไม่มีจะเรียกโรงเรียนได้หรือ? ก็เลยมีการทำคู่มือการดูแลหญิงตั้งครรภ์และทารกแรกเกิด 1 เล่ม ,คู่มือการดูแลเด็ก 0-1 ปี 1 เล่มและคู่มือการดูแลเด็ก 2-5 ปีอีก 1 เล่ม ..ใครทำคะ พี่หม่วยอีกตามเคยต้องเขียนร่างเป็นตุ๊กตาให้คณะกรรมการแต่ละท่านอ่านก่อน
ขณะเดียวกันงานในเครือข่ายก็ต้องทำด้วย ปีนั้นเริ่มจากสถานีอนามัยนำร่อง 4 แห่ง สนุกเลยเพราะเคยทำแต่งาน routine จัดยา แจกยา รับ order ให้การพยาบาลในตึก เรียนรู้ใหม่ทั้งหมด
นี่ล่ะคะที่มาของน้ำตา และหยาดเหงื่อ ที่บอกว่าต้องทำเอง ก็เป็นตามนั้นจริงเพราะส่วนใหญ่ยังรู้สึกว่า"งานเธอ ไม่ใช่งานเรา และไม่เอาหรอกนะเพิ่มภาระงาน ทำไม่ได้ ยุ่งจะแย่แล้ว"
ความสำเร็จมาจากไหน..."มาจากพี่หม่วยเลยคะที่สู้..ทำจริงไม่มีบ่นปริปาก แม้ว่าจริงๆแล้วเราแอบรู้ภายหลังว่ามีแอบร้องไห้เพราะท้อเหมือนกัน สิ่งที่พี่หม่วยเล่าให้ฟังคือ รู้สึกดีที่สมาชิกโรงเรียนพ่อแม่จะทักทาย และดีใจที่ได้เจอทั้งในรพ.และนอกสถานที่"