พระมาลัย :
วรรณกรรมท้องถิ่นที่เลือนหายจากสังคมพม่า
ชาวพม่ารู้จักพระมาลัยว่าเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
มีนาม ว่า เฉี่ยนมาแล (ia'N,k]c)
เรื่องราวของพระมาลัยมีกล่าวไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนานอกพระไตรปิฎก
พบว่ามีทั้งที่เขียนเป็นภาษาบาลีและภาษาพม่า
อย่างไรก็ตามชาวพม่าทั่วไปแทบไม่รู้จักเฉี่ยนมาแล
ความรู้เกี่ยวกับเฉี่ยนมาแลจึงต้องศึกษาจากเอกสารโบราณ
และเค้ามูลจากประเพณีของบางท้องถิ่นเท่านั้น
เรื่องราวของพระมาลัยในประเทศพม่ามีกล่าวถึงในแง่ของความเป็นมาและงานพิธี
โดยบันทึกเป็นจารึก คำบอกเล่า และ สิ่งปลูกสร้าง
จากหลักฐานด้านจารึกเผยให้ทราบว่าคัมภีร์มหาวงศ์(,sk;"l)
เป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงเรื่องของเฉี่ยนมาแลไว้แรกสุด
โดยพระมหานามะเถระ (,skok,g5iN) จากเมืองอนุรา (vO6ik1,bh) เกาะสิงหล
ซึ่งมีการเรียบเรียงในราวปีพุทธศักราช ๖๐๐ หรือ ๘๐๐
ต่อมาในคริสตศักราชที่ ๑๘๗๘ พระจีแตเลทะสะยาดอ (dyutlcg]t5xNCikg9kN)
แห่งเมืองชเวต่อง(gUg9k'N1,bh)
ได้แปลคัมภีร์อรรถกถามหาวงศ์นั้นออกมาเป็นภาษาพม่า
และตั้งชื่อว่า มหาวงศ์วัตถุ (,sk;'N;9¶7 )
ในคัมภีร์มหาวงศ์วัตถุนั้นกล่าวถึง เฉี่ยนมาแล ว่า คือ
พระมาลิ-ยะมหาเทวะอรหันต์มหาเถระ ซึ่งเป็นใหญ่ในบรรดาพระอรหันต์ ๕
รูป
พระองค์ทรงออกบิณฑบาตรับข้าวยาคูและภัตตาหารจากกษัตริย์ทุฏฐคามณิ(m6D8j,Ib)
แห่งเกาะสิงหล แล้วนำไปแจกจ่ายแก่สงฆ์ ๙๐๐ รูป
ที่จำพรรษาอยู่
นอกจากนี้ยังพบเรื่องราวของพระมาลัยจากในคัมภีร์
รสวาหินี(il;jsbou)ที่พระรัฏฐปาละ(via'NiDxj])แห่งมหาวิหารวาสีแปลไว้เป็นภาษาบาลี
ในคัมภีร์รสวาหินีนี้ประกอบด้วยเรื่องเล่า ๑๐๓ บท ใน ๔๐ บทแรก
กล่าวถึงเรื่องที่เกิดในชมพูทวีป ส่วนใน ๖๓ บทท้าย
กล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดในเกาะลังกาทีปสิงหล
คัมภีร์รสวาหินีนี้ในประเทศพม่ารู้จักกันดีในชื่อว่า
มธุรรสวาหินีวัตถุ(,T6iil;jsbou;9¶7)
มธุรรสวาหินีวัตถุฉบับนี้เรียบเรียงในสมัยพุกามแต่ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง
และกล่าวกันว่าเป็นคัมภีร์ที่เขียนเป็นภาษาบาลีพม่า
โดยแปลมาจากภาษาสิงหล ต่อมามีการแปลเป็นภาษาพม่า
แต่มิได้กล่าวไว้ว่าเขียนเสร็จเมื่อไร
อย่างไรก็ตามได้พบหนังสือฉบับคัดลอกหนหลังในปี
ค.ศ.๑๗๗๓
ในคัมภีร์มธุรรสวาหินีได้กล่าวถึงพระมาลัยว่า
พระมาลัยได้ไปปฏิบัติกรรมฐานในวัดป่าเวลิยวิหาร เกาะสิงหล
วันหนึ่งเกิดอาพาธ
เป็นโรคลมแน่นท้องจึงต้องออกบิณฑบาตข้าวยาคูมาเป็นยารักษาโรคจากอุบาสกผู้หนึ่ง
และด้วยทิพยญาณว่าอุบาสกผู้นี้จะได้เป็นเทพในสวรรค์ชั้นดุสิต
จึงพาอุบาสกผู้นั้นไปกราบไหว้พระธาตุจุฬามณีบนสรวงสวรรค์
เมื่อไปถึงสรวงสวรรค์อุบาสกผู้นั้นก็ได้พบหมู่เทพและได้พบพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์
และเมื่อกลับมาก็ได้บอกเล่าความสุขสบายในสรวงสวรรค์ให้ชาวบ้านทั้งหลายฟังจนชาวบ้านต่างมีจิตประกอบกุศลกันอยู่เนื่องๆ
และในที่สุดอุบาสกผู้นั้นก็ได้ไปเกิดเป็นเทพนามว่า มเหสักกะ ณ
สวรรค์ชั้นดุสิตนั้น
ต่อมาคัมภีร์มธุรรสวาหินีนั้นได้กลายมาเป็น
เฉี่ยนมาแลวัตถุ (พระมาลัยวัตถุ)
ซึ่งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระมาลัยที่แตกต่างออกไป คือ
พระมาลัยได้ไปจำพรรษา ณ หมู่บ้านโรหณชนบท เกาะสิงหล
วันหนึ่งได้ไปยังเมืองนรกและสวรรค์
ขณะที่ไปในเมืองนรกได้พบเห็นชาวนรกที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
และเมื่อไปในสวรรค์ก็ได้พบกับเหล่าเทพผู้มีบริวารสมบูรณ์พร้อม
โดยพระอินทร์เป็นผู้เล่าความเป็นมาของเทพเหล่านั้นให้ฟังว่าเคยได้ประกอบกรรมดีอันใด
จึงส่งผลให้มาเกิดเสวยสุขในสรวงสวรรค์
นอกจากนี้พระมาลัยยังได้พบและสนทนากับพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์
และพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ได้ฝากให้บอกชาวโลกให้ประกอบกุศลทำบุญและฟังธรรมเป็นนิจสิน
เพื่อจะได้พบกับพระองค์ในภพหน้า
เมื่อพระมาลัยกลับมายังโลกมนุษย์ก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้ชาวบ้านฟัง
ชาวบ้านผู้เลื่อมใสจึงปฏิบัติกุศลและทำทานกันถ้วนหน้า
ในประเทศพม่านั้นได้พบเรื่อง
เฉี่ยนมาแลวัตถุ หรือ พระมาลัยวัตถุจำนวนมาก
ทั้งในรูปคำภีร์ใบลานและหนังสือบุด
ในบรรดาเอกสารเหล่านั้นได้พบหนังสือใบลานพระมาลัยเก่าแก่ฉบับหนึ่งที่คัดลอกในปี
ค.ศ.๑๖๖๘ สมัยพระเจ้าญองยาง(gPk'Ni,Nt)
ตัวอักษรที่จารเป็นภาษาพม่าสมัยญองยาง โดยแปลมาจากภาษามคธ(บาลี)
และมีอีกฉบับหนึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระมาลัย เขียนไว้ในปี
ค.ศ.๑๗๖๑ กล่าวกันว่าเป็นฉบับที่แปลมาจากภาษาไทย
อย่างไรก็ตามเนื้อหาของเรื่องจากใบลานเก่าแก่ ๒
ฉบับนี้ไม่มีความแตกต่างกัน ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๐๔ ของสมัยคอนบอง
ได้มีการแต่งเรื่องพระมาลัยในรูปแบบกาพย์กลอนที่เรียกว่า
ปโยะลีงกา(xyb7h]d§k)
ในบรรดาพระมาลัยวัตถุที่เขียนเป็นกาพย์กลอนนี้
เฉี่ยนมาแลปโยะ(ia'N,k]cxy7bh)หรือ กาพย์พระมาลัย
โดยกวีอูโน(FtO6bt)แห่งสมัยคอนบองนับเป็นงานที่เด่นมาก
ในต้นยุคอาณานิคม ยังมีการพิมพ์พระมาลัยฉบับปโยะเผยแพร่เป็นจำนวนมาก
แต่กลับมิได้ระบุชื่อผู้แต่งไว้
เพียงแต่กล่าวว่าได้เคยมีการจัดพิมพ์เฉี่ยนมาแลวัตถุไว้ฉบับแรกในโบราณทีปนี(gxjikImuxou)
ฉบับที่ ๒ ซึ่งเขียนโดยสะยาเตง(CiklboNt) แห่งเมืองหม่อบี่(g,ak4u)
จึงกล่าวได้ว่าในสมัยอาณานิคมนั้นเป็นช่วงที่มีการตีพิมพ์เรื่องเฉี่ยนมาแลวัตถุ(พระมาลัยวัตถุ)อย่างแพร่หลาย
นอกเหนือจากการกล่าวถึงประวัติความเป็นมาและคำบอกเล่าเรื่องราวของพระมาลัยผ่านงานที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว
ในสังคมพม่ายังมีการกล่าวถึงความสำคัญของพระมาลัยต่อวิถีชีวิตชาวบ้านในรูปแบบต่างๆด้วย
เช่น การจัดงานประเพณี การใส่บาตรพระมาลัย
ตลอดจนการตั้งชื่อพระเจดีย์
การจัดงานประเพณีพระมาลัยนั้น มีชื่อเรียกภาษาพม่าว่า เฉี่ยนมาแล-บแว
(ia'N,k]cx:c) งานเฉี่ยนมาแล-บแวนี้
เป็นงานประเพณีงานหนึ่งที่ชาวพม่าเคยรู้จักกันดี
มีหลักฐานว่า
ธรรมเนียมการจัดงานนี้มีสืบมาตั้งแต่สมัยพุกามจนถึงสมัยรัตนบุระอังวะ
(i9okx6") และมีการกล่าวถึงการจัดงานเฉี่ยนมาแล-บแวไว้หลายแห่ง
เช่นในจารึกตีงจีญ่องโอะ (l'NWdutgPk'Nv6xNgdykdN0k)
ค.ศ.๑๒๐๑
กล่าวถึงการฟังธรรมเรื่องพระมาลัยในสมัยพุกามไว้
และในจารึกสมัยพุกามก็มีการกล่าวถึงเรื่องพระมาลัยควบคู่ไปกับพระเวสสันดร
อีกทั้งในจารึกมิพญาจีชเวจอง(,b46iktWdutgUgdyk'Nt)
สมัยพระเจ้ามีงจีสวา(,'NtWdut0:k) แห่งกรุงอังวะ
ค.ศ.๑๓๗๓ ได้จารึกไว้ว่า
มีการฟังธรรมเฉี่ยนมาแลมาตั้งแต่สมัยพุกาม
และยังกล่าวถึงการจัดงานเฉี่ยนมาแล-บแวว่าจัดกันอย่างยิ่งใหญ่
ส่วนในเมียนมามีงโอะโชะโป่งส่าตาน
(e,oN,k,'Ntv6xN-y7xNx6"0k9,Nt-คำบันทึกการปกครองของกษัตริย์พม่า)
ฉบับที่๕ ได้กล่าวไว้ว่า การจัดงาน เฉี่ยนมาแล นี้
เป็นงานประเพณี ๑ ใน ๓ งาน ที่จัดในเดือนตะส่องโมง หรือเดือน ๘
ของพม่า
เป็นช่วงเดียวกับงานทอดกฐินและงานตามประทีปในระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
นอกจากการจัดงานประเพณีแล้ว ในจารึกเกี่ยวกับปราสาทมหามุนี
ก็ได้กล่าวถึงเรื่องการใส่บาตรเฉี่ยนมาแลซูน(ข้าวพระมาลัย)แด่พระสงฆ์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการตั้งชื่อพระเจดีย์ว่าเฉี่ยนมาแล
ดังพบในบทกลอนเจและกาพยา(gdyt]dNdryk)
ซึ่งเป็นเพลงกลอนพื้นบ้านสมัยคอนบองได้กล่าวถึงพระเจดีย์ชเวมาแล(gU,k]c46ikt)
ที่เมืองซิ่งกู่(0fNhd^t)ไว้ว่า
สาวชาวนาชักชวนคนรักไปยังพระเจดีย์ชเวมาแล
เพื่อยกหินเสี่ยงทายว่าทั้งสองจะเป็นคู่ครองที่แท้จริงหรือไม่
และที่เมืองยะมีตีง(i,PNtl'Nt)มีพระเจดีย์เล็กๆ ๑ องค์ ชื่อว่า
เฉี่ยนมาแล-พยา(ia'N,k]c46ikt)
ที่พระเจดีย์มีป้ายติดไว้ว่าเป็นพระเจดีย์สมปรารถนา
ในเดือนตะส่องโมง(เดือน ๘ พม่า)จะมีการจัดงานเฉี่ยนมาแล-บแว
ชาวบ้านจะนำเครื่องบูชามาบูชาพระเจดีย์ ซึ่งเรียกว่า
พันห้าอย่าง (g5k'N'jt]u) อันประกอบด้วย ประทีป ข้าว
ดอกไม้ น้ำ และตุง
นอกจากนี้ยังพบพระนามของกษัตริย์ปรากฏในจารึกหลายพระองค์ อาทิ
พระเจ้าอะลองสี่ตู(vg]k'Nt0PNl^) พระเจ้าช้างเผือกหงสาวดี(บุเรงนอง)
และพระเจ้าโพด่อพญา(46btg9kN46ikt) ว่าได้ถวายที่ไร่ที่นาต่อพระเจดีย์
จึงอาจกล่าวได้ว่าพระเจดีย์ชเวมาแลนี้ได้สร้างมานับแต่สมัยพุกามแล้ว
และก็มักจะจัดงานฉลองพระเจดีย์ในเดือนตะส่องโมงดังกล่าว
นอกจากนี้ยังพบพระเจดีย์เฉี่ยนมาแลที่เมืองมัณฑะเล ณ
บริเวณด้านเหนือของพระเจดีย์มหามุนี (,sk,6ob46ikt)
และในคันธกุฎีบนพระเจดีย์เฉี่ยนมาแลนั้นมีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง นามว่า
เฉี่ยนมาไลก์พญา (ia'N,k]6bdN46ikt)
และมีการจัดงานฉลองเฉี่ยนมาแลเป็นประจำทุกปี
โดยงานจะเริ่มในตอนบ่ายของวันเพ็ญเดือนตะส่องโมง
จะมีคนขายดอกบัวที่ลานพระเจดีย์
และผู้คนที่มากราบไหว้เจดีย์ก็จะซื้อดอกบัวถวาย
โดยบ้างก็ปักไว้ในแจกัน
และบ้างก็โยนบัวขึ้นไปยังองค์พระเจดีย์เป็นที่สนุกสนาน
แต่กลับไม่พบการเทศนาพระเวสสันดรชาดกและคำสวดพระมาลัย
แม้แต่ทายกวัดก็ยังไม่รู้จักเรื่องราวเฉี่ยนมาแลวัตถุ
จึงอาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้
ชาวเมืองมัณฑะเลไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเฉี่ยนมาแลวัตถุกันนัก
ส่วนที่รัฐยะไข่(i-6b'NexPNopN)ก็พบว่าเคยมีธรรมเนียมการสวดพระมาลัยวัตถุและพระเวสสันดรชาดก
โดยจะสวดทั้ง ๒ คาถาพร้อมกันในวันเดียวของวันเพ็ญเดือนตะดีงจู๊ต
(เดือน ๗ ช่วงงานจุดประทีปและออกพรรษา) มีการจัดงานในบริเวณวัด
และสร้างมณฑป ๑,๐๐๐ หลัง ในแต่ละมณฑปจะจัดวางของบริจาคอย่างละ ๑,๐๐๐
ชิ้น
และในการอ่านพระมาลัยวัตถุและพระเวสสันดรชาดกจะจัดผู้อ่านผลัดเปลี่ยนกัน
ในใบลานเฉี่ยนมาแลวัตถุที่พบที่เมืองยะไข่นั้นบอกปีไว้ว่าเป็นปี ค.ศ.
๑๙๒๔
เรื่องราวพระมาลัยในใบลานของยะไข่นั้นเหมือนกับเรื่องราวของเฉี่ยนมาแลวัตถุของพม่า
ในปัจจุบันงานฉลองเฉี่ยนมาแลของยะไข่ไม่เป็นที่นิยมแล้ว
ส่วนในรัฐฉาน คนไทขึนในรัฐฉานมีธรรมเนียมอยู่ว่า
หลังจากแต่งงานได้ระยะหนึ่งแล้ว ชีวิตครอบครัวจึงจะลงตัว
เมื่อถึงเวลานั้นก็จะทำบุญด้วยการคัดลอกประวัติของพระมาลัย
และเรื่องราวพระเวสสันดรชาดก จากนั้นจะเชิญเพื่อนบ้านให้มาฟังบทสวด
หลังจากพิธีนี้แล้วจึงจะถือว่าครอบครัวใหม่นี้เป็นที่ยอมรับของสังคม
พิธีการอ่านพระมาลัยวัตถุและพระเวสันดรชาดกนับเป็นที่แพร่หลายในรัฐฉาน
ส่วนทางตอนล่างของประเทศพม่า มีการจัดงานเฉี่ยนมาแลเช่นกัน
โดยมีรูปแบบต่างออกไป คือจะจัดทำมณฑปเป็นรูปเรือใหญ่ที่เรียกว่า
หล่อกา(g]akNdkt) เพื่อใช้เป็นที่จัดวางผลไม้ ขนม ตุงอย่างละ ๑,๐๐๐
เรือที่จัดทำขึ้นนี้มีความหมายเปรียบเสมือนแพนำสู่พระนิพพาน
ชาวบ้านที่นี่เรียกงานฉลองนี้ว่า
หล่อกาบแวด่อ(g]akNdktx:cg9kN) ตามชื่อของเรือ
แต่บ้างก็เรียกว่า งานถ่องปยิบแวด่อ(g5k'NexPNHx:cg9kN)
ตามชื่อเครื่องบูชาที่ถวายอย่างละพัน
ในสารานุกรมพม่าได้กล่าวถึงการจัดงาน เฉี่ยนมาแลถ่องปยิบแวด่อ
ทีเมืองพย่าโป่ง(zykx6")ในเดือนต่อตะลีง(เดือน ๖
ในช่วงประเพณีแข่งเรือของเดือนสิงหาคม-กันยายน)
ส่วนในหมู่บ้านกะเหรี่ยงบริเวณริมแม่น้ำจะทำเรือหล่อกาฉลองในงานเฉี่ยนมาแลบแว
แต่ในปัจจุบันไม่พบการจัดงานนี้แล้ว
ส่วนที่เมืองตะนาวศรีก็มีการจัดงานเฉี่ยนมาแลบะแวเช่นกัน
และที่เมืองมะริดก็มีการจัดงานวันเวสสันดร(g;ÊOµikgoh)
มีการนิมนต์พระมาสวด ๓ วัน ๓ คืน ส่วนที่เมืองทวาย
จะจัดงานเฉี่ยนมาแลบะแวด่อ หรือ เวสันดรบะแวด่อ
อยู่เป็นประจำในทุกวันเพ็ญเดือนตะดีงจู๊ต(เดือน ๗ พม่า)
โดยจะจัดเครื่องบูชาจำนวน ๑,๐๐๐ ชิ้น และมีการอ่านเฉี่ยนมาแลวัตถุ
เมื่ออ่านจบจะมีการตีกังสะดาร เป่าหอยสังข์ และรำฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน
จากนั้นก็จะผลัดกันอ่านพระเวสสันดรชาดก ๑๔ บทจนจบในวันนั้น
จะเห็นได้ว่าการจัดงานพระมาลัยมีความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวของพระมาลัยวัตถุ
และเรื่องราวของพระมาลัยก็ได้แพร่หลายไปทั่วประเทศพม่า
เช่นเดียวกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และพบว่าเรื่องราวของพระมาลัยวัตถุนี้มีการเสริมแต่งออกไปมาก
เนื้อเรื่องจึงมีความแตกต่างไปจากเค้าเรื่องเดิมในตำราสิงหลรสวาหินี(มธุรรสวาหินี)
ส่วนเนื้อหาของเรื่องพระมาลัยภูมิภาคนี้กลับไม่มีความแตกต่างกัน
พระมาลัยวัตถุนี้ในบางครั้งเคยมีการจัดทำเป็นภาคผนวกประกอบหนังสือใบลานเรื่องพระเวสสันดรชาดก
ใบลานในลักษณะเช่นนี้มีพบในประเทศพม่าเช่นกัน อาทิ
หนังสือใบลานที่พบในจังหวัดตะนาวศรี ลงปีที่คัดลอกไว้ว่า วันจันทร์
ที่ ๒ เดือนวาโส่(เดือน ๔ พม่า) ศักราช ๑๒๔๗
จะเห็นได้ว่าพระมาลัยวัตถุเป็นที่นิยมแพร่หลาย
และมีการสืบต่อในรูปแบบที่หลากหลาย
แต่ก็เป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับพระมาลัยวัตถุฉบับบาลีของศรีลังกา
ในประเทศพม่าช่วงศตวรรษที่ ๑๑ แห่งยุคพุกาม
ได้พบตำราภาษาบาลีของนิกายเถรวาทที่สืบจากนิกายสิงหลมหาวิหารเป็นจำนวนมาก
และในกลางศตวรรษที่๑๒ เป็นช่วงของความเจริญทางด้านวรรณกรรมภาษาบาลี
และมีพระสงฆ์นิกายสิงหลอยู่มาก ดังในจารึก
มีงจีสว่าชเวจองที่จารึกในปี ค.ศ.๑๓๗๔
และจารึกตีงจีญ่องโอะที่จารึกในปี ค.ศ.๑๒๐๑
ได้กล่าวถึงเรื่องการฟังธรรมพระมาลัยวัตถุ
สิ่งนี้จึงเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระมาลัยวัตถุได้เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศพม่ามาแล้วตั้งแต่ในสมัยต้นศตวรรษที่
๑๓ และในศตวรรษที่๑๔ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันหากพูดถึง เฉี่ยนมาแล
ชาวพม่าในเมืองใหญ่ๆมักไม่ทราบว่าเฉี่ยนมาแล คือใคร
และเมื่อพูดถึงเรื่องพระเถระที่เดินทางไปยังนรกสวรรค์แล้ว
พระโมคคลานะ(via'Ng,k8¤]koN)
กลับเป็นที่รู้จักกันมากกว่าเฉี่ยนมาแล
จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาว่าเพราะเหตุใดเรื่องราวของเฉี่ยนมาแลจึงได้เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวพม่า
อรนุช นิยมธรรม
(เรียบเรียงจากบทความ
“พระมาลัยในสังคมพม่าและเอเชียตะวัน-ออกเฉียงใต้” โดย U
Tein Lwin )