สามีดุจร่ม :
ชีวิตที่เลือกไม่ได้ของหญิงพม่า
มะซันดา เป็นนักเขียนสตรีชาวพม่าที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ผลงานของเธอเป็นนิยายสะท้อนชีวิต ที่บ่งบอกถึงความใส่ใจของเธอต่อวิถีชีวิตของชาวพม่าระดับสามัญ ผลงานของมะซันดาเริ่มปรากฏเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๖๕ เธอมีงานเขียนทั้งนิยายขนาดยาวและเรื่องสั้นรวมกว่า ๑๐๐ เรื่อง งานเขียนของมะซันดาได้แสดงภาพชีวิตของชาวพม่านับแต่ยุคสังคมนิยมจนคาบเกี่ยวกับยุคเสรีภาพก้ำกึ่งอย่างปัจจุบัน เรื่องที่นำเสนอมักเกี่ยวกับปัญหาชีวิตภายในครอบครัวของชาวพม่าร่วมสมัย และในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอได้สะท้อนชีวิตของผู้หญิงพม่า ที่ต้องเวียนวนอยู่ภายใต้กรอบคิดแบบจารีตนิยมและในสภาพแวดล้อมของสังคมพม่าไว้อย่างน่าสนใจ เหตุหนึ่งที่งานของมะซันดาน่าอ่านนั้น เป็นเพราะงานเขียนของเธอไม่ได้เขียนเพื่อรับใช้อุดมการณ์ทางสังคมนิยมของรัฐ หรือ ต่อต้านสังคม จนต้องเกิดภาวะจำยอมอย่างไร้เหตุผลหรือขัดแย้งจนไร้สุข หากแต่งานของเธอได้ให้ภาพชีวิตและความรู้สึกนึกคิดของชาวพม่า โดยมิได้จงใจสร้างภาวะกดดันให้กับตัวละครจนต้องไร้ทางออกในชีวิต นอกจากนี้งานของมะซันดายังน่าศึกษา ด้วยมักแฝงแนวคิดอยู่ในกรอบของจารีตนิยม ซึ่งยังเป็นเครื่องตัดสินความดีงามของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมพม่า งานของ มะซันดาจึงให้ประโยชน์ทั้งในด้านการสะท้อนวิถีชีวิตที่สมจริง ตลอดจนช่วยเผยโลกทัศน์ของชาวพม่าต่อปรากฏการณ์ทางสังคม ที่ยังคงความเป็นพุทธนิยมและจารีตนิยมไว้ค่อนข้างมาก จนบางทีออกจะแย้งกับระบบเศรษฐกิจและสภาพสังคมที่นับวันจะยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ
"ร่ม" เป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของมะซันดา เขียนขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๙๐ เรื่องนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้หญิงพม่าต่อชีวิตของแม่บ้านในครอบครัวที่มีสภาพเหมือนไร้ทางออก จากเรื่องนี้ มะซันดาได้เปรียบสามีเป็นดุจร่มสำหรับภรรยา ซึ่งสอดคล้องกับโลกทัศน์ทางจารีตของชาวพุทธพม่า ที่มองสามีว่าเป็นดุจพระหรือเทพในเรือน และเป็นที่พึ่งของภรรยาและบุตร อีกทั้งเชื่อว่าครอบครัวจะเป็นสุขอยู่ได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความดีงามของผู้เป็นสามีเป็นสำคัญ จึงนับว่าสังคมพม่าให้ความสำคัญต่อผู้เป็นสามีไว้อย่างสูงค่า
มะซันดา ผู้แต่งเรื่อง "ร่ม" ได้แสดงความคิดคำนึงของผู้หญิงพม่าคนหนึ่งผ่านมะเซงเมียะ หรือ นางเพชรมรกต หญิงครองเรือนวัยกลางคน มะเซงเมียะแต่งงานมานานแล้ว และมีลูก ๓ คน ชีวิตครอบครัวของเธอตกอยู่ในสภาพทุกข์ยาก ด้วยภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ในขณะที่รายได้ของครอบครัวของเธอมีแต่เงินเดือนของสามีเท่านั้น สามีของมะเซงเมียะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับเสมียน ซึ่งได้รับเงินเดือนน้อย เงินเดือนจากสามีอย่างเดียวจึงไม่อาจจุนเจือครอบครัวได้อย่างเพียงพอ มะเซงเมียะเกิดความกลัดกลุ้มจนไม่อาจเก็บความรู้สึกอัดอั้นใจไว้ได้อีก เธอเริ่มมองสามีของเธอด้วยสายตาที่เหนื่อยหน่ายอย่างเปิดเผย และความทุกข์ใจทำให้เธอหวนนึกอย่างขมขื่น ถึงคำกล่าวของผู้เป็นแม่ที่เคยพร่ำสอนว่า
"หญิงที่ไม่มีสามีนั้น ดูไม่ต่างกับผู้หญิงที่ต้องเดินฝ่าสายฝนไปตามลำพังโดยปราศจากร่ม"
ด้วยเหตุนี้ มะเซงเมียะจึงได้เลือกที่จะมีชีวิตคู่ และเธอก็เลือกคู่ครองด้วยตนเอง แรก ๆ เธอเคยมองสามีของเธอเป็นดุจร่มตามที่ผู้เป็นแม่เคยว่าไว้ แต่ตอนนี้สามีในสายตาของเธอกลับมิได้เป็นร่มที่จะปกป้องเธอและครอบครัวได้ดีดังหวัง
วันหนึ่งมะเซงเมียะเห็นอูเหย่แค หรือ พ่อน้ำแข็ง สามีของเธอกำลังนั่งสัปหงกเอนพิงผนังบ้าน ในขณะที่มุมปากยังคาบบุหรี่ที่มอดดับไปนานแล้ว อูเหย่แคมีสภาพไม่ต่างไปจากคนที่หมดหนทางแล้วยังทำตัวไม่รู้ร้อน ความรู้สึกตอนนี้ของมะเซง เมียะคงราวกับเพชรอันแข็งแกร่งที่ต้องฝังแช่อยู่ในก้อนน้ำแข็งที่เย็นเยือกเป็นเวลานาน มะเซงเมียะดูจะเหมือนผู้หญิงพม่าทั่วไป ที่ชอบคิดว่าการเป็นภรรยาของข้าราชการนั้นมีเกียรติและสุขสบายมากพอ จนอาจไม่จำเป็นต้องช่วยสามีหารายได้อื่นใดมาเสริม และมักมีความพอใจกับบทบาทของการเป็นแม่บ้าน ที่คอยบริหารการเงินและกิจการภายในบ้านจากรายได้ของสามี
ส่วนอูเหย่แค แม้จะทำงานราชการมานาน แต่ก็เป็นได้เพียงเสมียน และไม่อาจเลื่อนฐานะการงานของตนให้ดีขึ้น มะเซงเมียะพยายามเร่งเร้าสามีของเธอให้หาทางออก เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว แต่อูเหย่แคกลับแสดงอาการเฉื่อยชาต่อ ข้อเรียกร้องของเธอ และกล่าวยอมรับว่าหนทางไม่ได้ง่ายอย่างที่มะเซงเมียะร้องขอ มิเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องทำงานอยู่แค่ตำแหน่งเสมียนมาจนบัดนี้ อูเหย่แคจึงเสมือนร่มชำรุดที่เปิดออกกางไม่ได้ในยามจำเป็น
มะเซงเมียะไม่อาจเก็บความร้อนใจไว้ได้ เธอได้ไปพบกับด่อเซงจี่ หรือ นางเพชรจรัส ผู้เป็นพี่สาวของเธอเพื่อระบายความทุกข์ใจ ครอบครัวของด่อเซงจี่นับว่าพอมีอันจะกิน สามีเธอมีอาชีพพ่อค้า และมีเชื้อสายจีน ด่อเซงจี่มีหน้าที่เป็นเพียงแม่บ้านเช่นเดียวกับมะเซงเมียะ รายได้ที่สามีของด่อเซงจี่หาได้นั้นขยับตามค่าครองชีพได้อย่างสม่ำเสมอ ต่างจากรายได้ของอูเหย่แคที่คงที่ มิได้รับเพิ่มให้สอดคล้องกับค่าครองชีพปัจจุบัน ในแต่ละวันสามีของด่อเซงจี่จะนั่งดีดลูกคิด และตัดสินใจในการค้าขายอยู่ตลอด เพื่อคอยดูว่าสินค้าใดควรนำมาขาย สินค้าใดควรกักตุนไว้ และสินค้าใดควรลดราคาเพื่อเร่งการจำหน่าย รายได้จากการค้าขายของครอบครัวด่อเซงจี่ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการสูงขึ้นของค่าครองชีพ มะเซงเมียะจึงมองด่อเซงจี่ว่าโชคดีกว่าตนที่มีสามีหากินเก่ง ต่างไปจากสามีของนาง ซึ่งเป็นเพียงข้าราชการระดับล่าง และมีรายได้เพียงน้อยนิด
มะเซงเมียะมาหาด่อเซงจี่เพียงต้องการเล่าความทุกข์ร้อนของตนให้พี่สาวรับรู้ แต่กลับต้องแปลกใจ ที่พบว่าด่อเซงจี่ก็มีเรื่องคับใจเช่นกัน ด่อเซงจี่ก็ไม่อาจทนที่จะเก็บความทุกข์ไว้ จึงได้เล่าถึงปัญหาของตนให้น้องสาวฟังว่า สามีของเธอนั้น ถึงแม้จะหารายได้เก่งก็จริง แต่กลับไม่ซื่อสัตย์ แอบมีเมียน้อย ที่มีวัยพอ ๆ กับลูกสาวคนโตของเธอ ด่อเซงจี่ไม่กล้าต่อว่าสามีก็ด้วยสามีหาเลี้ยงครอบครัวจนลูกเมียอยู่ได้อย่างสุขสบาย เธอจึงต้องยอมรับสภาพจำยอมต่อการอยู่กับสามีที่ปันใจให้หญิงอื่น และทนยอมรับความขมขื่นไว้เพียงลำพัง ด่อเซงจี่ยังเล่าว่าน้องสาวของสามีเธอก็ตกอยู่ในสภาพที่ปวดร้าวเช่นกัน เพราะสามีของหล่อน ซึ่งเป็นข้าราช-การระดับสูงมีอารมณ์แปรปรวน ชอบทุบตีภรรยาด้วยฤทธิ์เหล้า ด่อเซงจี่เห็นว่ามะเซงเมียะนั้นโชคดีแล้ว ที่สามีเป็นคนไม่เล่นการพนัน ไม่ติดเหล้า ไม่เจ้าชู้ และมอบเงินเดือนทั้งหมดให้กับภรรยา โดยไม่ได้ยักยอกเงินไปหาความสุขเฉพาะตน ด่อเซงจี่ช่างยกย่องอูเหย่แคของมะเซงเมียะเป็นดุจชายในอุดมคติของผู้หญิงพม่าทั่วไป ก็คงหวังว่ามะเซงเมียะจะปลงใจได้บ้างกระมัง แต่ปมปัญหาของมะเซงเมียะนั้นเป็นอีกอย่าง การรับรู้เพียงแค่นี้จึงไม่น่าจะช่วยให้มะเซงเมียะหักล้างความทุกข์และยอมรับสภาพได้อย่างสมจริง
เมื่อมาถึงตอนนี้ แม้มะเซงเมียะจะได้รับรู้ถึงปัญหาของครอบครัวอื่น ที่สามีบกพร่องหน้าที่ในส่วนที่ต่างออกไป แต่ผู้เขียนก็ยังมิได้เผยถึงความรู้สึกของมะเซงเมียะออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอมีความเห็นต่ออูเหย่แคผู้เป็นสามีดีขึ้นหรือไม่ อาจเป็นเพราะส่วนดีของสามีของเธอมิได้ช่วยให้ปัญหารายได้ของครอบครัวเธอหมดไป อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็ได้ปูทางให้มะเซงเมียะเริ่มเห็นสัจธรรมบางอย่าง และจากจุดนี้ผู้เขียนยังดำเนินเรื่องตอกย้ำความรู้สึกของมะเซงเมียะต่อไป โดยให้มะเซงเมียะจำต้องเดินฝ่าสายฝนกลับมาสู่บ้านตน ร่มที่เธอใช้กางกันฝนนั้น เป็นร่มเก่า ๆ และขาดวิ่น มะเซงเมียะจึงเดินเปียกฝนมาตลอดทาง ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงกางร่มนั้นจนถึงบ้าน
เมื่อถึงหน้าบ้าน เพื่อนบ้านคนหนึ่ง ชื่อ มะตานตานขิ่ง ได้เอิ้นทักมะเซงเมียะ ที่เห็นเธอเดินเปียกฝนมา มะตานตานขิ่งเป็นสาวโสด เลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า แต่ฝีมือของเธอไม่สู้ดี จึงมีลูกค้าประจำน้อย เธออยู่กับแม่ที่อายุมาก ชาวบ้านต่างรู้ว่ามะตานตานขิ่งนั้นไม่น่าจะมีรายได้จากการเย็บเสื้อผ้าพอเลี้ยงดูชีวิตตนและแม่ได้ แต่เธอกลับแต่งหน้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวย ๆ อยู่เป็นประจำ ชาวบ้านเฝ้าสังเกตว่ามะตานตานขิ่งมักหายออกจากบ้านไปในเวลากลางวัน แล้วกลับถึงบ้านในยามเย็น เธอจึงตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้าน ที่ชอบเก็บเรื่องราวของเพื่อนบ้านมานินทากันเล่นไปต่าง ๆ นานา
มะเซงเมียะเดินกางร่มขาด ๆ แถมยังเปียกปอนกลับมา เมื่อถูกมะตานตานขิ่งร้องทักทาย ก็ตอบรับด้วยความขุ่นใจต่อร่มที่กางมา พอขึ้นบ้านเธอก็วางร่มกระแทก แต่ในใจของมะเซงเมียะก็ให้นึกถึงร่มขาด ๆ กับความสวยไม่สร่างของมะตานตานขิ่ง และ ด้วยความรู้สึกน้อยใจและน้อยหน้ามะตานตานขิ่ง เธอจึงตะโกนเรียกลูกสาวให้เอาผ้าถุงญี่ปุ่นลายกิโมโนมาให้ผลัดเปลี่ยน แต่ด้วยความซื่อของลูกที่ไม่รู้ว่าแม่เพียงพูดประชดมะตานตานขิ่ง ลูกจึงตะโกนย้อนออกมาว่า แม่ไม่เคยมีผ้าถุงสูงค่าขนาดนั้น เห็นมีแต่ผ้าถุงลายดอกแบบจีนเก่า ๆ ราคาถูก อารมณ์ขุ่นที่กรุ่นอยู่ในอกที่มีต่อร่มและความน้อยเนื้อต่ำใจต่อชีวิต ที่ต้องทนทุกข์อยู่ในสภาพเมียของข้าราชการจน ๆ จึงระเบิดใส่กับลูก ๆ แล้วเสียงของมะตานตานขิ่งก็แว่วมาเหมือนจะปลอบเธอว่า "ร่มจะดีอย่างไร หากเจอฝนหนักอย่างนี้ ก็คงเปียกเหมือนกัน แต่มีร่มกางกันฝน ก็ดูจะงามกว่าไม่มีร่มเอาเสียเลย…"
ผู้เขียนจบเรื่องด้วยคำพูดของมะตานตานขิ่งอย่างทิ้งปริศนาไว้ให้ได้คิด ราวจะบอกว่าชีวิตของมะเซงเมียะยังดีกว่าผู้หญิงพม่าอีกหลายคนที่อยู่เป็นโสดจนเกินวัย อีกทั้งผู้เขียนยังได้หันเหปัญหาปากท้องของครอบครัวมะเซงเมียะ มาสู่การชั่งใจในสภาวธรรมแห่งชีวิตที่ย่อมมีดีและมีร้าย ในเมื่อเรื่องจบลงเช่นนี้ จึงน่าจะเป็นไปได้ว่า ผู้เขียนคงไม่ปรารถนาให้มะเซงเมียะมีทางเลือกเป็นอย่างอื่น โดยได้เสนอภาพของหญิงที่ไร้สามีอย่างมะตานตานขิ่งไว้ให้ใคร่ครวญ จนมะเซงเมียะอาจต้องละทิฐิมานะและปลงตกได้ในที่สุด
เรื่องราวของมะเซงเมียะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนภาพชีวิตของชาวพม่าระดับกลาง ที่ต้องดิ้นรนอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และค่าครองชีพสูง ตามที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศสหภาพพม่าปัจจุบัน หากย้อนมองยุคสังคมนิยมก่อนนั้น กล่าวกันว่า ข้าราชการพม่ามีรายได้จากเงินเดือนอย่างพอเพียง สามารถเก็บเงินสะสมไว้ซื้อทองได้ไม่ยาก อาทิ เงินเดือนขั้นต่ำของอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่อ ๒๐ ปีก่อน สามารถนำมาซื้อผ้าถุงอย่างดี หรือผ้าปาเต๊ะได้ราว ๘ ถึง ๑๐ ผืน ต่างจากปัจจุบันที่เงินเดือน ข้าราชการสามารถซื้อผ้าถุงชนิดเดียวกันได้ไม่เต็มผืน เหตุผลที่คนหัวเก่าหรือผู้ที่ชื่นชอบระบอบสังคมนิยมอาจยกขึ้นเป็นข้อกล่าวหาได้ไม่ยากนัก คือการที่ประเทศพม่าพยายามออกจากเส้นทางสังคมนิยม แล้วหันมาสร้างระบบเศรษฐกิจที่พัฒนาไปตามกลไกตลาดนั้น เป็นผลให้เกิดการถีบตัวขึ้นของค่าครองชีพ สินค้ามีราคาสูงขึ้น และค่าเงินจั๊ตตกต่ำไปกับอัตราแลกเปลี่ยนจริงที่ลอยตัวในตลาดมืด แต่ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยแท้จริงใดก็ตาม เงินเดือนของข้าราชการพม่ากลับขยับขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย จากเหตุนี้ ภาพชีวิตอย่างอูเหย่แคและมะเซงเมียะจึงย่อมมีให้พบเห็นเป็นธรรมดา
และในขณะที่ภาวะการดำรงชีพฝืดเคืองอย่างถึงที่สุดเช่นนี้ การคิดติดอยู่ในค่านิยมที่ภรรยาจะยกค่าของสามีเป็นที่พึ่งหลัก และเป็นดุจพระหรือเทพในเรือนนั้น จึงอาจไม่เพียงพอต่อการมีชีวิตที่ดีได้ในปัจจุบัน เพราะเมื่อชีวิตครอบครัวขาดความมั่นคง วัตรปฏิบัติของสามีภรรยาที่ควรมีต่อกันอาจยากที่จะยึดไว้ได้ การเรียกร้องให้สามีต้องยึดมั่นในหน้าที่ต่อภรรยาตามหลักของการครองเรือนที่ดีงาม อันได้แก่ ไม่ทำร้ายภรรยา มอบทรัพย์สินที่หาได้ให้ภรรยาดูแล ซื่อสัตย์ต่อภรรยา เลี้ยงดูภรรยาให้มีชีวิตที่ดี และให้ความรักและความเอ็นดูต่อภรรยานั้น อาจยากที่จะดำรงไว้ได้ครบถ้วน ในขณะเดียวกันภรรยาที่ดีควรประพฤติต่อสามีด้วยการเป็นแม่บ้านที่ดี รู้จักมัธยัสถ์ ซื่อสัตย์ต่อสามี เกื้อกูลญาติและมิตรสหายทั้งฝ่ายตนและสามีโดยเสมอกัน และไม่เกียจคร้านนั้น ย่อมต้องย่อหย่อนลงได้ หลักการครองเรือนดังกล่าวจึงอาจเป็นเพียงกรอบเตือนใจสำหรับสามีภรรยา และข้อนิยมดังกล่าวคงไม่มีความหมายมากนัก หากชีวิตครอบครัวต้องมาตกอยู่ในสภาพคล้ายกับตัวละครในเรื่องนี้
โดยทั่วไปแล้ว การมองสามีเป็นดุจร่มนั้น ถือเป็นคติชีวิตแบบหนึ่งของพม่า และหากไม่มีทางเลือกให้คิดเป็นอย่างอื่น ผู้หญิงเองอาจไม่ตระหนักถึงภัยจากการเข้าสู่ชีวิตครอบครัว ที่ย่อมต้องมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในสภาวะความเป็นอยู่เช่นปัจจุบัน ผู้หญิงพม่าในปัจจุบันจึงมีทางเลือกดีๆไม่มาก ทางหนึ่งคือการเลือกแต่งงานกับผู้ชายที่ประกอบอาชีพที่มีรายได้พอกิน อาทิ นายทหาร ศุลกากร พ่อค้า นักธุรกิจ แพทย์ และวิศวกร เป็นต้น อีกทางหนึ่งคือการครองความเป็นโสดตลอดไป โดยอาจพึ่งตนเอง พ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง ส่วนการบวชชีเพื่อหนีชีวิตคู่นั้น ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน และความเห็นที่มีมากขึ้นในสังคมพม่าปัจจุบัน คือ ความคิดที่ว่า รายได้น้อยอยู่ไม่ได้ มีสามีเป็นข้าราชการจะต้องพบกับความลำบาก และอยู่เป็นโสดดีกว่านั้น ทำให้ผู้หญิงพม่าจำนวนมากต้องกังวลกับการมีคู่ครอง และหลายคนต้องจำยอมเป็นสาวแก่ไปตลอดชีวิต เพราะหากต้องแต่งงานกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยหรือมีรายได้ไม่แน่นอน อาทิ ตำรวจ ทนายความ ครูอาจารย์ หรือ เสมียน อาจต้องพบกับชีวิตที่เลือกแล้วไม่ได้อย่างที่คิด อย่างมะเซงเมียะที่สิ้นหวังกับสามี อย่างไรก็ตาม จากเรื่อง "ร่ม" ของมะซันดา ดูเหมือนผู้แต่งตั้งใจจะให้เพียงแง่คิดต่อเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน เพื่อให้ยอมรับในชะตาชีวิตของตน มะซันดาดูจะบอกว่าการมีสามีที่ซื่อสัตย์ต่อภรรยาอาจจะดีกว่าสามีที่นอกใจภรรยา กินเหล้าเมายา หรือชอบทำร้ายลูกเมีย และผู้แต่งดูจะยอมรับค่านิยมของชาวพม่า ที่เห็นว่าผู้หญิงควรต้องมีสามี คล้อยกับคำกล่าวที่ว่า แม้หญิงนั้นจะมีพี่ชายถึงสิบคน แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับสามีเพียงคนเดียว ผู้ที่จะช่วยให้ชีวิตของผู้หญิงมีความสุขได้นั้นจึงมีเพียงสามี เพราะการขาดสามีเป็นที่พึ่ง อาจต้องพบกับชีวิตที่ไม่ต่างไปจากมะตานตานขิ่งในเรื่องสั้นของมะซันดา ที่หลักลอย ว้าเหว่ และจำต้องดิ้นรนไปในเส้นทางอันมืดมนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้
หากจะวิเคราะห์แนวคิดของผู้แต่งแล้ว อาจกล่าวได้ว่ามะซันดาเขียนเรื่อง "ร่ม" ได้น่าอ่าน ด้วยเธอได้แสดงภาพการเผชิญปัญหาของคนพม่าได้อย่างน่าสนใจ และแม้ว่ามะซันดาจะมิได้ชี้นำให้ผู้หญิงมีความคิดเป็นอิสระจากกรอบจารีตนิยมของ ผู้หญิงพม่าก็ตาม ทว่าในงานของมะซันดาก็ได้ให้แง่คิดโดยอ้อมแก่ผู้หญิงพม่าที่มักปล่อยตนให้ด้อยโอกาสในชีวิต โดยหวังพึ่งเพียงกำลังของสามีฝ่ายเดียว อีกทั้งยังดิ้นไม่หลุดจากค่านิยมทางสังคม ด้วยเหตุนี้บทบาทของภรรยาต่อสามีและครอบครัวในระบบคิดเดิมจึงยังไม่ถูกประเมิน และยังคงยอมรับเป็นสิ่งดีงาม เรื่อง "ร่ม" จึงดูจะให้ทางออกบางอย่างเท่าที่จะค้นหาได้ด้วยวิธีคิดแบบพม่า อย่างน้อยก็อาจช่วยเตือนผู้หญิงให้ได้สังวรและมีเหตุผลที่จะต้องจำทนอยู่ในสภาพที่ไร้ทางออก ด้วยการยอมรับในชะตากรรม และพยายามมองหาสิ่งที่ดีสำหรับตนให้พบภายใต้กรอบของจารีตประเพณีนั้น ทั้งที่อาจจะดูคับแคบและโหดร้ายอยู่บ้างก็ตาม สาระจากเรื่อง "ร่ม" นี้ จึงพอจะบอกได้ว่าสังคมพม่ายังพอใจกับค่านิยมดั้งเดิม และมักหาทางออกให้กับชีวิตโดยไม่ให้กระทบกับคุณค่าของคตินิยมและธรรมเนียมนิยม และด้วยกรอบคิดอันจำกัดเช่นนี้ มะซันดาจึงผูกเรื่องให้ตัวละครของเธอต้องพบกับสภาพจนมุมอยู่บ้าง ดังที่สะท้อนในแนวการเขียนของเธอ
วิรัช นิยมธรรม