ลำนำชีวิตของนักแสดงหุ่นชักในนิยายพม่า


สังคมพม่าเป็นสังคมที่ชอบการรับรู้เรื่องราวที่เป็นมงคลต่อชีวิต เพราะถือว่าการรับรู้เรื่องร้าย ภัยร้าย หรือ เรื่องชวนหดหู่ต่างเป็นสิ่งคุกคามความสุขทางใจ
ลำนำชีวิตของนักแสดงหุ่นชักในนิยายพม่า

 

สังคมพม่าเป็นสังคมที่ชอบการรับรู้เรื่องราวที่เป็นมงคลต่อชีวิต เพราะถือว่าการรับรู้เรื่องร้าย ภัยร้าย หรือ เรื่องชวนหดหู่ต่างเป็นสิ่งคุกคามความสุขทางใจ และยังเกรงว่าอาจนำเคราะห์มาสู่ บางคนกลัวมากถึงกับผินหลังและเบือนหน้าให้กับเรื่องราวดังกล่าว และหากเผลอพูดเรื่องไม่เป็นมงคล ก็มักจะเขกโน่นเคาะนี่ หรือเรียกพระวอนเจ้ามากลบคำพูดตน บ้างไม่กล้าแม้จะอ่านสิ่งพิมพ์ประเภทอาชญากรรม หรือเรื่องอุบัติเหตุ ในทำนองเดียวกันนิยายหรือภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องโหดร้ายหรือเรื่องภูติผีมักจะไม่ได้รับความนิยม จึงไม่แปลกที่ฝ่ายรัฐเองก็ห้ามนำเสนอเรื่องราวประเภทดังกล่าว

 

นุนุหยี่อีงวะเป็นนักเขียนสตรีชาวพม่าผู้หนึ่งที่มีผลงานประพันธ์ในทางโศกาลัย งานของเธอจึงออกจะขัดแย้งกับค่านิยมของชาวพม่าที่ชอบอ่านนิยายประเภทประโลมโลก อย่างเรื่องรักๆใคร่ๆ นุนุหยี่อีงวะจึงเป็นนักเขียนผู้หนึ่งที่กล้าฉีกแนวนิยม งานของเธอส่วนใหญ่มักจะวนเวียนอยู่กับความทุกข์ยากของคนระดับล่าง แทบทุกเรื่องที่เธอเขียนจึงออกจะหนักไปทางบีบคั้นอารมณ์ของผู้อ่าน และไม่เปิดช่องให้เนื้อเรื่องคลี่คลายไปสู่ทางออกแบบสุขารมณ์ เหตุนี้นักอ่านนิยายชาวพม่าบางคนถึงกับวิจารณ์งานของนุนุหยี่อีงวะว่า หลังจากที่อ่านงานของเธอแล้ว แทบไม่อยากหยิบมาอ่านอีก เพราะภาพชีวิตในงานประพันธ์ของนุนุหยี่อีงวะเหมือนจงใจซ้ำเติมชีวิตให้ทุกข์หนักยิ่งขึ้น บางคนถึงกับเลือกที่จะไม่อ่านงานของเธอด้วยซ้ำ โดยให้เหตุผลว่าชีวิตคนนั้นมีทุกข์อยู่มากพอแล้ว และเห็นว่านิยายควรจะช่วยปลดปล่อยอารมณ์มากกว่าผลักให้ผู้อ่านต้องตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตามแม้งานของนุนุหยี่อีงวะจะก่อความสะเทือนใจให้กับผู้อ่าน แต่งานของเธอกลับมีความงามและละเอียดอ่อนจนชวนหวั่นไหวได้ไม่น้อย ดังนิยายสั้นเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า "ขอให้ผุกร่อนอยู่ใต้ธุลีดิน"

 

นุนุหยี่อีงวะ ได้ผูกภาพชีวิตของนักแสดงหุ่นชักเสียงดีแต่ตกยากนามว่า ซะแบหล่าย กับ นางฉ่วยหมี่งภรรยาคู่ทุกข์ที่หลงใหลผูกพันในเสียงขับและลีลาการเล่นหุ่นชักของผู้เป็นสามี ซะแบหล่ายเป็นลูกชายของ ซะแบจ่าย เจ้าของคณะหุ่นชักที่โด่งดังเมื่อกว่า ๓๐ ปีก่อน ในขณะนั้นหุ่นชักเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะทางพม่าตอนบน คราหนึ่งเศรษฐีบิดาของนางฉ่วยหมี่งได้จ้างคณะหุ่นชักของคณะซะแบจ่ายมาแสดงยังที่ลานบ้าน นางฉ่วยหมี่งติดใจในตัวหนุ่มซะแบหล่าย และชื่นชอบการแสดงหุ่นชักยิ่งนัก บิดาของเธอจึงต้องจ้างคณะแสดงชุดนี้มาแสดงในทุกคราที่จัดงานบุญ ที่สุดนางฉ่วยหมี่งหรือ"แม่ใยทอง" กลับหลุ่มหลงการแสดงหุ่นชักจนถึงกับหนีตามหนุ่มซะแบหล่ายไปอย่างไม่ปราณีหัวอกของผู้เป็นพ่อ

 

ซะแบหล่ายมีฝีมือในการชักหุ่นได้อย่างยอดเยี่ยม มีสุ้มเสียงที่ชวนหลงใหล และยังเป็นหนุ่มรูปงาม ซะแบหล่าย หรือ "พ่อมะลิหอมหวน" จึงเพียบพร้อมด้วยคุณลักษณ์ของนักแสดงหุ่นชักที่หาได้ยากในคนเดียว เขาได้รับบทเป็นพระเอกของคณะซะแบจ่าย ส่วนนางฉ่วยหมี่งนั้น แม้เธอจะไม่มีพรสวรรค์ทางการแสดง แต่เธอก็ติดตามซะแบหล่ายไปทุกหนแห่ง และคอยเฝ้าปรนนิบัติสามีในขณะรอคิวแสดงดุจพี่เลี้ยง นางจะคอยส่งน้ำ พัดวี ห่มผ้า และบีดนวดให้กับสามี ขณะเดียวกัน ก็เฝ้าดูการแสดงของผู้เป็นสามีราวกับแฟนหุ่นชักผู้คลั่งไคล้ ซะแบหล่ายจึงได้รับกำลังใจจากนางฉ่วยหมี่งโดยไม่จืดจาง

 

ซะแบหล่ายเร่แสดงหุ่นชักอยู่ระยะหนึ่งจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ใครๆในยุคนั้นจึงต่างรู้จักนามและจำน้ำเสียงของซะแบหล่ายได้เป็นอย่างดี จนเมื่อกระแสความนิยมการแสดงหุ่นชักเริ่มลดน้อยลงในเวลาต่อมา การว่าจ้างคณะหุ่นชักจึงค่อยๆหดหาย จนค่าจ้างไม่พอเลี้ยงคณะ ที่สุดซะแบหล่ายก็ต้องทิ้งคณะหุ่นชัก แล้วพาภรรยาคู่ทุกข์ลงมาหาเลี้ยงชีพที่เมืองย่างกุ้ง เขาและภรรยาพยายามทำงานทุกอย่าง เพื่อรอว่าสักวันหนึ่งยุคของการแสดงหุ่นชักจะหวนกลับคืน แต่กาลเวลาล่วงผ่านไปกว่า ๓๐ ปี นามซะแบหล่ายได้ถูกลืมเลือน เหลือเพียงชื่ออูบะหล่าย คนขายผักบุ้งหาเลี้ยงลูก ๖ คนและภรรยาคู่ทุกข์

 

ชีวิตของอูบะหล่ายในวัยสูงอายุมิได้หอมหวนอย่างแต่ก่อน เขาแต่งกายซอมซ่อ มือหยาบกร้าน เดินหาบผักบุ้งขายอยู่ในตลาดแถวริมทางรถไฟ แต่ด้วยมีวิญญาณของนักขับเพลงหุ่น อูบะหล่ายจึงมักร้องขายผักบุ้งด้วยเสียงทำนองเชิดหุ่น แต่ใครเลยจะรู้ว่านี่คือเสียงเจื้อยแจ้วของพระเอกหุ่นชักแห่งเมืองเหนือผู้เคยลือนามว่าซะแบหล่าย ส่วนนางฉ่วยหมี่งนั้น เธอไม่อาจช่วยสามีหาเลี้ยงชีพได้ ด้วยเธอมีอันต้องล้มเจ็บลงมายาวนาน ฝ่ายลูกๆของอูบะหล่ายก็แยกครัวย้ายไปอยู่ที่อื่น เหลือเพียงลูกสาวปากร้ายกับลูกเขยขี้เมาอาชีพถีบสามล้ออยู่ร่วมชายคา ลูกๆของอูบะหล่ายต่างไม่สนใจอดีตของพ่อผู้เคยเป็นถึงยอดศิลปินหุ่นชัก อีกทั้งยังมักขัดคอและเหน็บแนม อูบะหล่ายทุกยามที่เขาขับลำนำเพลงหุ่นชักให้ได้ยิน ชีวิตของอูบะหล่ายจึงไม่เพียงเหนื่อยกาย ซ้ำยังเปลี่ยวใจยิ่งนัก

 

ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่อูบะหล่ายกำลังนั่งปัดยุงและบีบนวดให้กับภรรยาที่นอนเจ็บอยู่บนบ้าน ลูกเขยได้พาชายแปลกหน้ามายังบ้าน พร้อมเอ่ยปากขอซื้อหุ่นชักของอูบะหล่ายในราคา ๕๐๐ จั๊ต ลูกสาวคะยั้นคะยอให้พ่อขายหุ่น โดยอ้างค่ายาและค่าซ่อมสามล้อ พอนางฉ่วยหมี่งได้ยินเช่นนั้น เธอรีบเอิ้นห้ามอูบะหล่ายไม่ให้ขาย นางตระหนักดีว่าหุ่นตัวนี้เป็นหุ่นชักคู่ใจของสามี เธอเรียกมันว่า ซะแบหล่าย ซึ่งเป็นฉายาของอูบะหล่ายเมื่อครั้งอดีต และในยามที่ลูกๆไม่อยู่บ้าน อูบะหล่ายมักนำหุ่นนั้นออกจากกล่องใบตาลมาเชิดและขับเพลงให้นางชมอยู่บ่อยๆ เฉพาะอย่างยิ่งในยามที่นางฉ่วยหมี่งล้มเจ็บ อูบะหล่ายก็ใช้หุ่นนี้ร้องเล่นให้นางได้คลายทุกข์ทางกายอยู่เสมอ หุ่นซะแบหล่ายจึงมีค่าเสมอด้วยวิญญาณของอูบะหล่ายและเป็นดุจสายใยชีวิตนางฉ่วยหมี่ง

 

ต่อมาไม่นานนัก อูบะหล่ายต้องรับรู้ว่าชีวิตของนางฉ่วยหมี่งได้มาถึงวาระสุดท้าย ตัวของนางเย็นเฉียบ และเสียงของนางแผ่วเบา นางพยายามเอ่ยคำสุดท้ายไว้กับอูบะหล่ายว่า ขอให้จัดงานศพของนางด้วยประเพณีอย่างบ้านเกิดที่เมืองเหนือ อูบะหล่ายมองนางด้วยความขมขื่น ตอนนี้เขามีเงินติดตัวเพียง ๑๐ จั๊ต ทางเดียวที่อูบะหล่ายทำได้ในขณะนั้นคือพยักหน้าให้นางได้มั่นใจ ส่วนปากก็พร่ำสวดบทธรรมให้นางนึกถึงพุทธคุณ และตาก็เฝ้าจับดูนางจากไปอย่างสงบ

 

งานศพของนางฉ่วยหมี่งเงียบเหงา ไม่มีเสียงร้องไห้ ไม่มีเสียงปี่พาทย์บรรเลงอย่างธรรมเนียมเหนือ ความตายของนางคงไม่มีค่าอะไรไปกว่าคนไร้ค่าที่ดับหายไปอีกหนึ่ง จะมีก็เพียงอูบะหล่ายเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เขาไม่อาจหวนกลับไปสู่ชีวิตนักแสดงดังที่เคยวาดหวังร่วมกับนางฉ่วยหมี่งได้อีก อีกทั้งความนิยมในการแสดงหุ่นชักก็ไม่เคยมีวี่แววว่าจะฟื้นตัว แต่ที่สำคัญในตอนนี้ งานศพของนางก็คงไม่อาจมีพิธีเหนืออย่างที่นางได้ขอไว้

 

อูบะหล่ายบอกคำสั่งเสียของแม่ให้ลูกฟัง แต่ไฉนเลยจะได้รับคำปลอบโยนจากลูก อูบะหล่ายยังถูกลูกสาวและลูกเขยมองว่าเป็นคนเพ้อเจ้อ เพราะแม้แต่ค่ารถที่จะขนศพไปฝังยังไม่มี แต่ยังดีที่บ้านอยู่ใกล้ป่าช้า ผู้คนจึงช่วยหามไปได้ไหว อูบะหล่ายจึงต้องนั่งคอตกด้วยสิ้นหวัง

 

จนถึงช่วงสำคัญที่จะต้องเคลื่อนศพไปฝังยังป่าช้า อูบะหล่ายกลับหายหน้าไป ผู้คนจึงต่างตะโกนเรียกหาตัวอูบะหล่าย ที่สุดต่างก็ต้องตะลึงกับท่าทางของอูบะหล่ายที่วิ่งเร่อร่ามายังท้ายขบวนแห่ศพ อูบะหล่ายสะพายกลองที่มีฉาบด้านหนึ่งผูกไว้ มือหนึ่งถือไม้ตีกลอง อีกมือหนึ่งถือฉาบอีกด้าน

 

อูบะหล่ายขับลำนำส่งศพทำนองเหนืออย่างโหยไห้
ประสานเข้ากับเสียงกลองและฉาบในจังหวะช้า
หยดน้ำตาอูบะหล่ายหยาดรินลงนองกลองและฉาบ
เป็นภาพแสนรันทดสะกดสายตาผู้คนที่งงงัน

 

อูบะหล่ายพยายามอย่างที่สุดเพื่อสนองต่อคำสั่งเสียของนางฉ่วยหมี่ง เขาขับลำนำเครือสะอื้นไห้โดยมิได้ใส่ใจต่อสายตาของผู้คนที่ต่างมองต่างกระซิบต่อกันด้วยความเวทนา แต่ท่ามกลางความเห็นใจของผู้อื่นต่ออูบะหล่าย ลูกสาวและลูกเขยกลับพูดขุ่นขึ้นด้วยโทสะว่า " พ่อคงจะบ้า ! "

 

นุนุหยี่อีงวะผูกเรื่องของอูบะหล่ายนักแสดงหุ่นชักผู้มีฉายาว่าซะแบหล่ายเพื่อให้กระทบใจผู้อ่านในฉากสุดท้าย เป็นฉากงานศพอันเศร้าสลด ผิดไปจากงานศพอย่างพม่าที่อาศัยเสียงปี่พาทย์กลบความโศกเศร้า งานศพของนางฉ่วยหมี่งจึงเป็นอวมงคลอย่างยิ่งในทัศนะอย่างพม่า และการที่นุนุหยี่อีงวะจบเรื่องด้วยเสียงร้องของซะแบหล่ายที่เคยสะกดผู้ชมเมื่อครั้งอดีตให้ต้องกลายเป็นเสียงร้องอาลัยต่อนางฉ่วยหมี่งนั้น ก็คงจะอุปมาให้การจบชีวิตของนางฉ่วยหมี่งเป็นดุจกับการหมดไปของผู้ที่ชื่นชอบการแสดงหุ่นชัก และนั่นก็หมายถึงโอกาสในความรุ่งโรจน์ของศิลปินหุ่นชักพม่ามีอันต้องสิ้นไป

 

แม้นิยายสั้นเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่หนักเกินไปจนยากจะรับได้ในมุมมองของชาวพม่า อย่างไรก็ตามกล่าวกันว่านุนุหยี่อีงวะมักมิได้เขียนงานอย่างเลื่อนลอย เธอจะศึกษาพื้นเรื่องอย่างจริงจังโดยลงพื้นที่เก็บข้อมูลเพื่อหาความรู้และรับเอาความรู้สึกมาถ่ายทอดไว้ในงานเขียนของเธอ ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่เป็นเบื้องหลังของนิยายสั้นเรื่องนี้ก็คือการที่ศิลปะการแสดงหุ่นชักได้หมดความนิยมไปจากสังคมพม่า โดยเฉพาะในช่วงกว่า ๓๐ ปีที่ผ่านมา หุ่นชักหรือโยะเต(U6xNglt)ได้ถูกนำออกมาวางขายเป็นของที่ระลึกที่แปลกตา อีกทั้งนักแสดงหุ่นชักระดับมืออาชีพแทบไม่มีเหลือ แม้งานบูชาเจดีย์ก็ไม่มีการแสดงหุ่นชักให้เห็นอย่างแต่ก่อน การแสดงหุ่นชักจะพบได้เฉพาะในการแสดงที่จัดให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศและแขกของรัฐบาลเท่านั้น จึงอาจถือได้ว่าการแสดงหุ่นชักเป็นศิลปะที่หยุดการพัฒนาและตายไปจากสังคมพม่าแล้ว ส่วนการที่ภาครัฐพยายามฟื้นฟูการแสดงหุ่นชักขึ้นใหม่นั้น ก็เพื่ออนุรักษ์ไว้เป็นมรดกหนึ่งของชาติ และเป็นสินค้าพื้นเมืองสำหรับนักท่องเที่ยว

 

แต่สำหรับหุ่นซะแบหล่ายนั้น แม้ไม่มีผู้ชมอย่างนางฉ่วยหมี่งอีกแล้ว แต่ก็มีค่าเสมือนจิตวิญญาณของอูบะหล่าย นุนุหยี่อีงวะจึงได้บอกเป็นนัยไว้ว่า "ขอให้ผุกร่อนอยู่ใต้ธุลีดิน"

 

วิรัช นิยมธรรม

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 15577เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2006 19:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 18:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เรียนท่านที่กำลังหาอาจารย์ทำเสน่ห์ ผมขอนะนำ ที่ที่หนึ่งที่ผมทำสำเร็จ แล้ว ผมทำในตอนกลางคืนแล้วก็ได้รับของที่ต้องบูชาในคืนเดี่ยวกัน

1. ผงใส่อาหารให้รักและเชื่อฝัง

2. น้ำมันป้ายให้รักหลงและคิดถึง

3. หุ่นคู่ที่เราต้องไปฝั่งในดิ และสวดคาถา

หลังจากผมทำของเสร็จแล้วตามที่ท่านบอกแฟนผมที่จากไปนานถึง 2 เดื่อนกว่าก็ติดต่อกับมา และเริ่มดีขึ้น หลังจากที่เขากลับมาผมก้ต้อง ให้เขาทานอาหารที่ใส่ผงเสน่ห๋นี้เป็นเวลา 7 วัน และคู่กับการ ป้ายน้ำมัน รักหลงด้วย ตอนนี้ผมอยูกับแฟนและรักกันมาก ผมจรึงบอกต่อ นี้คือ คนที่คุณ จะสามารถติดต่อกับท่านได้ ทาง เลขนี้ 0847565337-0854371227 นะคับ ขอให้ทุกท่านสำเร็จเช่นกระผม

ผู้เสียหายคนไหน เคยโดนบุคคลเหล่านี้หลอกอ้างให้โอนเงิน

นาย มนต์เศก แก้วกุณฑล (อ.หนุ่มแพร่086-3578325,080-5012323)

นาย โชค ชุ่มรอด หรือ นาย ยุทธนา โชติรื่น (ย่า วรรณ ย่าเพ็ญ กันตรา ราตรี 085-4371227 088-4399791 0847565337)

ติดต่อแจ้งข้อมูลได้ที่ ร.ต.อ. เฉลียว แดงยิ้ม สน.ดอนเมือง 02-566-4159ถึง60

ร.ต.อ. ประยูร ทองอ่อน สน.หัวหมาก 02-3199340

ฝ่ายข้อมูล รายการเรื่องจริงผ่านจอ 02-6917446

ด่วน!!!

อ่านเจอจากเว็ปอื่นเลยเอามาโพสต์ไว้ให้สำหรับคนที่โดนไอ้พวกขยะสังคมหลอก ผู้หญิงขายบริการยังมีเกียรติกว่าไอ้พวกนี้ที่หากินบนความทุกข์ของคนอื่นเลยครับ ชั้นต่ำ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท