สภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน


สภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน

         เมื่อวันที่ 14 ก.พ.49   พบหมอท่านหนึ่งที่ทำงานอยู่ในจังหวัดใหญ่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ   และมีลูกเรียนอยู่ชั้น ม.ต้นใน รร.ที่ดีที่สุดในจังหวัด   ท่านเล่าว่าครูไม่ค่อยอยู่และไม่ค่อยได้สอน   เด็กได้ความรู้ส่วนใหญ่จากการกวดวิชา

         ผมถามว่าครูไปไหน   ท่านตอบว่าไม่ทราบ   เดาว่าไปเขียนเอกสารประเมิน   เอกสารเลื่อนวิทยฐานะหรือไปต้อนรับนาย

         ผมภาวนาว่านี่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ของประเทศ

         อย่างไรก็ตาม   เราต้องช่วยกันแก้ไขครับ

วิจารณ์  พานิช
 15 ก.พ.49

หมายเลขบันทึก: 15452เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2006 13:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อาจารย์ คะ

ที่จังหวัดดิฉันเคยมีครูขายยาบ้าด้วยค่ะ เลยรีบให้ลูกไปเรียนกรุงเทพค่ะ ทั้งๆที่อยากให้ลูกอยู่กับตัวเองนานๆ แต่ไม่เอาดีกว่า

และขณะนี้ครูเริ่มหันมาเล่นกอล์ฟคิดดูซิคะเล่นกอล์ฟต้องใช้เวลาเป็นวันๆ แล้วจะเอาเวลาไหนมาสอนนักเรียน

แต่ก่อนกอล์ฟเล่นกันเฉพาะ นักธุรกิจหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพือผลทาง ธุรกิจและสังคม

ดิฉันถามว่าทำไมครูจึงเริ่มเล่นกอล์ฟ เขาตอบว่า จะได้เล่นการพนันกันได้ คือพนันกันว่าใครจะชนะ ชนะเท่าไร เพราะดีกว่าไปเล่นไพ่ หรือเล่นพนันอื่นๆ ตำรวจไม่จับค่ะ ถ้าพนันกอล์ฟ เพราะเป็นการพนันแบบแอบแฝงค่ะ

เพราะเราสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่แยกส่วน  คือประเมินก็ส่วนประเมิน  การปฎิบัติหน้าที่ก็อยู่อีกส่วน พอมีอะไรเข้ามาหลายส่วนก็เอะอะโวยวาย โทษคนอื่นเข้าไว้ก่อน(แบบปัดภาระ) ถ้าส่วนไหนได้ประโยชน์แก่ตัวเองก็เน้นด้านนั้นหนักหน่อย และหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้เหมาะเจาะ  คุณธรรม และ ความสำนึกในวิชาชีพลดน้อยลงมาก  รู้ไหมว่าสังคมเราขณะนี้ ล้มเหลวมาตั้งแต่ระดับครอบครัว  สถิติแต่ละโรงเรียน นักเรียนได้อยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ไม่ถึงร้อยละ 50 ก็ฝากความหวังมาที่โรงเรียน ก็ยังหวังไม่ได้อีก  ทำอย่างไรดี...กระทรวงฯ(โดย ก.ค.ศ.) ก็หาวิธีใช้การประเมินวิทยฐานะเป็นตัวล่อเพื่อหวังว่าจะดีขึ้นที่เด็ก  อะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เป็นความจำเป็นก่อน  เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง   เพื่อให้ได้มาจะใช้วิชามารก็ยอม เป็นทุกระดับครับ...

เพราะเราสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่แยกส่วน  คือประเมินก็ส่วนประเมิน  การปฎิบัติหน้าที่ก็อยู่อีกส่วน พอมีอะไรเข้ามาหลายส่วนก็เอะอะโวยวาย โทษคนอื่นเข้าไว้ก่อน(แบบปัดภาระ) ถ้าส่วนไหนได้ประโยชน์แก่ตัวเองก็เน้นด้านนั้นหนักหน่อย และหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองได้เหมาะเจาะ  คุณธรรม และ ความสำนึกในวิชาชีพลดน้อยลงมาก  รู้ไหมว่าสังคมเราขณะนี้ ล้มเหลวมาตั้งแต่ระดับครอบครัว  สถิติแต่ละโรงเรียน นักเรียนได้อยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ไม่ถึงร้อยละ 50 ก็ฝากความหวังมาที่โรงเรียน ก็ยังหวังไม่ได้อีก  ทำอย่างไรดี...กระทรวงฯ(โดย ก.ค.ศ.) ก็หาวิธีใช้การประเมินวิทยฐานะเป็นตัวล่อเพื่อหวังว่าจะดีขึ้นที่เด็ก  อะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เป็นความจำเป็นก่อน  เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง   เพื่อให้ได้มาจะใช้วิชามารก็ยอม เป็นทุกระดับครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท