นักวิชาการหลายสาขาทำตัวแบบ “นก” คือบินมองจากที่สูง ข้อดีของ “ตานก” คือ มองเห็นภาพกว้าง เห็นบริบทแวดล้อม มองเห็นโครงสร้างและระบบ แต่กลับเข้าไม่ถึงรายละเอียด ไม่เห็น “คน” ที่อยู่ในบ้านหรืออยู่ใต้ต้นไม้ในสวน และมีโอกาสตีความผิดได้ไม่ต่างกับการแปลภาพจากดาวเทียม
อีกแบบคือ ทำตัวแบบ “หนอน” ข้อดีของ “ตาหนอน” คือเข้าใจรายละเอียดในพื้นที่ได้ดี แต่อาจจะมองภาพเชิงโครงสร้างได้ไม่ครบถ้วน
ปัญหาคือ นกกับหนอนไม่ค่อยได้คุยกัน หรือคุยกันคนละภาษา (ด้วยยึดติดกับภาษาของตัวมากเกินไป) สังคมจึงไม่ได้ประโยชน์จากความรู้กว้างและความรู้ลึกที่นำมาผสม “แปลเป็นเครื่องมือ” ในการทำให้สังคมดีขึ้น
นักวิชาการบางคนเก่งเป็นได้ทั้งนกและหนอน แต่ก็ต้องทำงานหนัก มีทีมงาน และใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือนอกเหนือจากการวิจัยอย่างเดียว
ระหว่างนกกับหนอน มีการทำวิจัยอีกลักษณะหนึ่งคือ “ขี่ม้าชมเมือง” (ประเภททำแบบสำรวจเก็บข้อมูลปฐมภูมิ) นักวิจัยเหล่านี้เห็นภาพระยะใกล้มากกว่านกแต่ก็ไม่ใกล้แบบหนอน เห็นภาพระยะไกลมากกว่าหนอนแต่ก็ไม่ไกลอย่างนก ความรู้จึงครึ่งๆกลางๆ ขึ้นอยู่กับว่า ขี่ม้าชมหลายรอบ หลายพื้นที่หรือไม่ แม้พอจะเป็นตัวกลางเชื่อมความรู้ระหว่าง นกกับหนอนได้บ้าง แต่นกก็ไม่สนใจ หนอนก็ไม่สนใจ
จะมีก็เพียง คน “ตาใส” คือนักศึกษาที่นั่งฟังด้วยความสนใจ
ยังถือว่าโชคดีที่มีคน ตาใส นั่ง ฟังด้วยความสนใจ
เพราะคนตาใสส่วนใหญ่ใช้วิชาจัดการความรู้
เล็งที่ผลลัพธ์เท่านั้น
สอบผ่านได้กระดาษ1ใบถือว่าสำเร็จแล้ว
สวัสดีค่ะคุณหมอ อ.ภีม และ อ.เอก
บางคนอาจเป็นแบบอาจารย์ภีมว่า แต่คนตาใส (เพราะยังเห็นโลกไม่มาก) หลายคนก็รักดีและคิดดี อยากให้สังคมดีขึ้นเหมือนกัน อยู่ที่คนตาขุ่นอย่างพวกครูอาจารย์ พ่อแม่ที่เห็นโลกมามากจะเอาแว่นแบบไหนใส่ให้เขา
เท่าที่เจอ พ่อแม่นั้นตัวดีมาก ที่ใส่ความรู้สึกเชิงปัจเจก การเอาดีเพื่อตัวเอง การแข่งขัน การมุ่งผลสัมฤทธิ์โดยไม่ใส่ใจวิธีการว่าถูกหรือผิด สิ่งเหล่านี้ถูกใส่เข้าไปในตัวเด็กมาตลอด 17-18 ปี เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยก็ต้องมาตั้งต้น สร้างความคิดกันใหม่ แต่อาจารย์หลายคนก็ละเลยเรื่องนี้
อันที่จริง นักศึกษามีศักยภาพเยอะทีเดียวถ้าเราสร้าง "แรงบันดาลใจ" ไม่ใช่ "แรงจูงใจ" ให้เขาอย่างเหมาะสม
ในวิชาที่สอน ได้มีการบ้านให้เด็กๆไปคุยกับคนชนบทที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เช่น คนรอบๆมหาวิทยาลัย วันนี้ให้เด็กๆมานั่งคุยกันว่าเจออะไรมาบ้าง และจะสรุปสิ่งที่เจออย่างไร
ยากตรงบทสรุปนี่แหละค่ะ... ว่ามันจะเชื่อมโยงไปสู่มุมมองในเชิงเศรษฐกิจสังคมอย่างไร
ถ้านักศึกษาได้เพียงกระดาษหนึ่งใบกลับไปหลังจากสี่ปี ก็ถือว่าเราล้มเหลวค่ะ
น่าสงสารคนไทยดำดำ ที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของประเทศ
ขอสารภาพว่าผมเป็นนักจัดการความรู้คนหนึ่งที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ให้ได้กระดาษ1ใบตั้งแต่เป็นนักศึกษา
ผมเรียนเพื่อให้สอบผ่าน สอบผ่านก็ลืมเนื้อหาที่เรียน
พยายามทบทวนดูว่าผมได้อะไรจากกระบวนการโรงเรียนและมหาวิทยาลัยบ้างที่เป็นฐานความรู้และ ความใส่ใจเรียนรู้ ที่เหลือเป็นการตัดสินใจในโอกาสและอุปสรรคที่จรเข้ามาจนเป็น "ตัวเรา" ในทุกวันนี้
คิดว่าการได้แค่กระดาษเพียง 1 ใบ มีสองสาเหตุ
สาเหตุแรก คือ นักศึกษาคิดว่า เนื้อหาการเรียนการสอนที่มหาวิทยาลัยไม่ให้อะไรที่เป็นประโยชน์
ประการที่สอง คือ นักศึกษามุ่งการสอบและเกรดเป็นตัวตั้ง เกียรตินิยมมาก่อน ความรู้มาทีหลัง
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มหาวิทยาลัยและผู้สอนมีส่วนรับผิดชอบ
อาจารย์มีสองหน้าที่คือ สร้างคนกับสร้างความรู้เพื่อสังคม ... ไม่ว่าจะใช้วิธีแบบนก แบบหนอน แบบคนขี่ม้าก็มีประโยชน์และมีข้อจำกัดในตัวของมันเอง ..คงต้องหาจุดอ่อนจุดแข็งของตัวให้เจอ
....อ้อ เพิ่งนึกออกว่ามีหนอนอีกแบบ ... หนอนหนังสือไง...
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นค่ะ
การเล่นเด็กไทยมีอะไรบ้าง
พ่อผมชื่อวุดครับแม่ผมชื่ รี