เช้าวันที่ 30 ต.ค. 50 ผมปรับสมอง จาก tourist mode / vacation mode ไปเป็น start working mode เพราะมีงานรออยู่ในวันที่ 31 ต.ค. และ 1 พ.ย. มากมาย สิ่งที่ต้องฝึกก็คือ หาทางพักผ่อนบนเครื่องบินให้มากที่สุด เพื่อให้เมื่อกลับเมืองไทยสมองและร่างกายสดชื่นพอที่จะทำงานได้ดี
คนขับแท็กซี่แนะนำเราว่า เครื่องบินออก 11.30 น. เราออกเดินทางไปสนามบินเวลา 9 น. ก็ทัน แต่ภรรยาผู้รอบคอบบอกว่า 8 น. และเมื่อคืนมูราลี่แนะนำว่าควรออก 7.30 น. เพราะตอน 8 น. จะหารถแท็กซี่ยาก ผมเห็นวิธีมองประเด็นของคน 3 คนทันที
ผมถามตัวเองใหม่ ว่าเมืองนิวยอร์คน่าอยู่ไหม คำตอบคือทั้งน่าอยู่และไม่น่าอยู่ ที่น่าอยู่คือมันมีอะไรๆ ให้เรียนรู้เติมเต็มส่วนที่ผมขาดได้มาก เพราะผมเติบโตมาแบบขาดๆ วิ่นๆ การได้มีโอกาสมาซึมซับจาก metropolitan life แบบชีวิตในนครนิวยอร์ค จึงเป็นบุญ ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสมานิวยอร์คอีกผมจะวางแผนไปชมพิพิธภัณฑ์ให้ฉ่ำไปเลย และจะหาโอกาสไปชมวิถีชีวิตของคนที่ใช้วิถีชีวิตทางเลือก เช่น Amish ที่ฟิลาเดลเฟีย ด้วย ที่น่ามาสำหรับผมคือมีที่พักอย่างสบายของลูกสาวและลูกเขยอยู่ใจกลางเมืองเลยทีเดียว
ที่ไม่น่าอยู่คือเป็นป่าคอนกรีตที่หนวกหูมาก สกปรกและขาดความรู้สึกสงบจากต้นไม้และธรรมชาติ มีความพลุกพล่านและให้ความรู้สึกว่าเป็นเมืองของคนที่จิตใจพลุ่งพล่านไม่มีความสงบทางใจ
แท็กซี่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงสนามบิน JFK เช็คอินของการบินไทยอยู่ที่ Terminal 4 การมีระบบ terminal อยู่แยกกันทำให้บรรยากาศของสนามบินไม่พลุกพล่าน ผมมีความเห็นว่า การออกแบบสนามบินต้องคำนึงถึงการสร้างบรรยากาศที่รู้สึกสบาย ไม่พลุกพล่าน เจ้าหน้าที่เช็คอินของการบินไทยเป็นคนไทยอายุสัก 50 แม้จะทำงานช้าแต่อัธยาศัยดี ให้บริการอย่างมีจิตบริการ ช่วยขออนุญาตให้เราเข้าใช้ห้องรับรอง Oasis ที่การบินไทยมีสัญญาใช้บริการ
ในห้องรับรองเราพบ อ. เจษฎา รอง ผอ. ศูนย์ประยุกต์และบริการวิชาการ และ ภญ.รศ.ดร.ปลื้มจิตต์ โรจนพันธุ์ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม. มหิดล มาติดต่อเรื่องการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของสิทธิบัตรเจลฟ้าทะลายโจร ที่คุณเฉลียว อยู่วิทยา ช่วยจดสิทธิบัตรใน 13 ประเทศ เป็นเงินถึง 5 ล้านบาท และจะมาร่วมกับคณะสัตวแพทย์ของ U of Tennessee at Knoxville ในการวิจัยต่อเพื่อพัฒนาเป็นยาสัตว์
Oasis Lounge นี้ใหญ่มาก มีห้องสมุด ห้องน้ำ, free internet, อาหาร, ผลไม้ เครื่องดื่มให้กินอย่างดี และคนไม่แน่น
สงครามยุคที่ 4
บนเครื่องบิน ผมอ่าน นสพ. ดิ อีโคโนมิสต์ ฉบับวันที่ 27 Oct - 2 Nov 2007 มีบทนำเรื่องสงครามแห่งอนาคตน่าสนใจมาก เขาบอกว่าการสงครามกำลังเข้าสู่ยุคที่ 4 โดยแบ่งยุคของสงครามดังนี้
• ยุคที่ 1 เป็นยุคที่รบด้วยทหารราบ ใช้แนวรบ (lines) และแถวทหาร (column) เป็นยุทธศาสตร์ นี่คือสงครามยุคนโปเลียน
• ยุคที่ 2 รบด้วยปืนกลและปืนใหญ่ เป็นยุคสงครามโลกครั้งที่ 1
• ยุคที่ 3 รบด้วยรถถังและเครื่องบิน เป็นช่วงตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสงครามอเมริกันบุกอิรักในปี ค.ศ. 2003
• ยุคที่ 4 เป็นการรบแบบใช้เครือข่ายหลวมๆ ใช้พลังและความยืดหยุ่นของเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ได้มีเป้าหมายหลักเพื่อเอาชนะกำลังรบของข้าศึก แต่มุ่งพุ่งเป้าเอาชนะความคิดของผู้มีอำนาจตัดสินใจของข้าศึกเพื่อทำลาย political will ในการทำสงครามของข้าศึก เท่ากับว่าสงครามยุคที่ 4 ไม่ใช่เอาชนะด้วยกำลังฆ่าฟัน แต่เอาชนะกันที่ความคิดหรือสมอง ฝรั่งเขาบอกว่าสงครามสมัยใหม่เน้นที่ brain (สมองหรือปัญญา) ไม่ใช่ที่ brawn (กล้ามเนื้อ หรือความรุนแรง)
เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เกี่ยวกับสงครามโดยสิ้นเชิง โดยที่ฝ่ายหนึ่งอาจชนะทุกการรบ (battle) แต่แพ้สงคราม (war) เหมือนที่สหรัฐอเมริกาเผชิญในสงครามเวียดนาม
ก่อนบุกอิรัก กองทัพอเมริกันบอกว่าจะเอาชนะการรบได้แบบสายฟ้าแลบ ซึ่งเป็นความจริงหากวัดที่รัฐบาล ปธน. ซัดดัม ฮุสเซนแตก แต่ยิ่งนับวันดูอเมริกันจะกำลังแพ้สงคราม
เห็นได้ชัดว่าพลังอำนาจของอาวุธหรือเทคโนโลยีไม่ใช่ตัวตัดสินแพ้ชนะในสงคราม ตัวตัดสินคือความเข้าใจผู้คนในประเทศคู่สงคราม และการทำความเข้าใจกับประชาคมโลก
บทเรียนที่ได้จากการที่อเมริกันใช้พลังอาวุธที่เหนือกว่าเข้ายึดครองอิรักและอัฟกานิสถานสอนเราว่าวิธีต่อสู้กับความแข็ง ต้องใช้ความอ่อน คือใช้สงครามประชาชน และที่จริงสงครามประชาชนก็มีการใช้มาเป็นพันปีในยุโรป ใช้โดยเหมาเจ๋อตง โดยโฮจิมินห์ และอื่นๆ
สงครามสมัยใหม่มีการเปลี่ยนนิยามของคำต่างๆ หมด ได้แก่ คำว่าชนะ แพ้ การต่อสู้ความไม่สงบ การต่อสู้การก่อการร้าย สงครามกลางเมือง ฯลฯ
ประเทศที่มีอำนาจทางอาวุธและเทคโนโลยี ต้องต่อสู้กับอำนาจประชาชน ต่อสู้กับความรู้สึกว่าถูกข่มเหง และมีคนทั้งโลกจับตาดูผ่านระบบการสื่อสาร
สงครามสมัยใหม่ มุ่งเอาชนะหัวใจและใจคน ไม่ใช่ชนะพลังการรบ
ผมตั้งใจว่าจะนอนให้มาก แต่ไม่สำเร็จ ลงท้ายได้ดูหนังเพลงที่เอลวิส แสดงนำถึง 3 เรื่อง คือ Fun in Acapulco, Blue Hawaii, GI Blue เป็น movie on demand ผู้โดยสารแต่ละคนเลือกเรื่องที่ตนอยากดูได้ตามความพอใจ เป็นความก้าวหน้าของบริการให้ความบันเทิงบนเครื่องบินเที่ยวที่เป็นระยะทางไกลๆ
ผมดูหนังเอลวิสซึ่งร่วมสมัยกับช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่น แล้วทบทวนมุมมองของตนเองว่าเมื่อแก่ตัวลงผมมีทัศนคติต่อเอลวิส และเพลงของเอลวิสต่างกับตอนเป็นเด็กๆ อย่างตรงกันข้าม เมื่อ 50 ปีก่อนผู้ใหญ่มองเพลงและหนังเอลวิสว่าทำให้เด็กใจแตกและนิยมความรุนแรง ผมระมัดระวังตัวเองเต็มที่ไม่ให้เข้าใกล้ กลัวตัวเองใจแตก แต่ตอนนี้ดูหนังฟังเพลงเอลวิสแล้วชื่นใจ
กลับมาถึงบ้าน ได้กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ ดอกไม้ ได้ยินเสียงกบเขียดร้อง รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก บอกตัวเองว่านี่คือความสุขที่ผมคุ้นเคย และรู้สึกว่าขาดหายไปตอนอยู่ในอเมริกา
วิจารณ์ พานิช
1 พ.ย. 50
ไม่มีความเห็น