ในการทำงาน สิ่งที่จะช่วยในการพัมนาคุณภาพหรือพัฒนาหน่วยงานได้อีกประการหนึ่ง ก็คือการเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อเป้นตัวผลักดันให้เราได้เห็นว่าระดับของเราอยู่ที่ไหน ของคนอื่นอยู่ที่ไหน พอมีเรื่องการจัดการความรู้เข้ามา ทำให้Bencmarkingมีบทบาทที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น
ในการทำBencmarking นั้น จะมีคำที่เกี่ยวข้องกันอยู่ 3 คำ คือ
Best practice วิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุด = วิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุดของผู้ที่ปฏิบัติได้ดีที่สุดBenchmark ระดับเทียบเคียง = ผู้ที่ปฏิบัติได้ดีที่สุด
Benchmarking การจัดระดับเทียบเคียง = วิธีการในการวัดและเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ บริการและวิธีปฏิบัติกับองค์กรที่สามารถทำได้ดีกว่า เพื่อนำผลของการเปรียบเทียบมาใช้ในการปรับปรุงองค์กรของตนเองเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ
ในการทำBencmarking ถ้าจะแบ่งง่ายๆจะมีการทำได้ 2 รูปแบบ คือ
1. การเปรียบเทียบกระบวนการ(Process Benchmarking) เป็นการนำกระบวนการทำงาน วิธีการทำงานมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งมักใช้กันบ่อยๆ เนื่องจากไม่ยากในการกำหนดการเทียบเคียง แต่ยากที่จะบอกว่าเมื่อเทียบออกมาแล้ววิธีที่ได้ถือว่าเป็นBest practiceนั้นจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีจริงหรือไม่ จะถกเถียงกันได้มากและการยอมรับกันจะต่ำ
2. การเปรียบเทียบผลลัพธ์ (Outcomes Benchmarking) เป็นการนำเอาผลลัพธ์ของกิจกรรมหรือกระบวนการมาเปรียบเทียบกัน แล้วค่อยย้อนกลับไปดูกระบวนการหรือวิธีการที่ทำให้ได้ผลลัพธ์นี้ ข้อดีคือจะมีการยอมรับกันได้มากกว่า เพราะเห็นกันชัดๆว่าผลลัพธ์ของใครดีกว่าใคร วิธีการปฏิบัติอันนั้นก็จะถือเป็นBest practiceได้ แต่ข้อเสียก็คือจะยากในการกำหนดปัจจัยแห่งความสำเร็จหรือตัวบ่งชี้ของผลลัพธ์ที่ดีเพราะในบางเรื่องจะตั้งตัวชี้วัดค่อนข้างยาก ยิ่งถ้าเป็นด้านอารมณ์ ความรู้สึก จิตใจแล้วจะยิ่งวัดยากเข้าไปใหญ่ บางทีถ้าตั้งตัวชี้วัดผลลัพธ์ไม่ดี อาจทำให้เกิดความเบี่ยงเบนแล้วไม่ได้Best practiceได้
แต่อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของผมก็นิยมใช้การวัดผลลัพธ์มากกว่าการใช้กระบวนการ แต่เท่าที่เห็นๆมาส่วนใหญ่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยเฉพาะในกลุ่มของโรงพยาบาล จะถนัดใช้กระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ เพราะการทำงานของแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคุ้นชินกับProcess orientedมากกว่า Result oriented
ไม่มีความเห็น