ในเรื่องหน่วยการจัดการ
เห็นพ้องกันว่าน่าจะเป็นท้องถิ่น หรือกลุ่มชุมชนหรือครอบครัว เพราะ
(ก) ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายทั้งในเชิงปัจเจก ครอบครัว ชุมชน และโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม มีความหลากหลาย ท้องถิ่นหรือชุมชนหรือครอบครัวเป็นผู้ที่รู้ข้อมูลดีกว่ารัฐส่วนกลาง เช่น ข้อมูล “ใครจน ใครจำเป็น คนจนมีลักษณะอย่างไร”
(ข) สวัสดิการเป็นมากกว่าเรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของวิถีชีวิต โดยเฉพาะในสังคมไทย สวัสดิการเชื่อมโยงกับเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว และในชุมชน จึงมีความละเอียดอ่อน ที่ประชุมเกรงว่า หากรัฐเข้ามาทำหน้าที่ “ทดแทนครอบครัวหรือชุมชน” อาจมีผลกระทบต่อเรื่องของระบบความสัมพันธ์ การออกแบบระบบสวัสดิการของไทยจึงควรคำนึงถึงประเด็นนี้ด้วย การให้สวัสดิการบางเรื่องจึงควรทำผ่านระบบครอบครัว หรือชุมชน
เมื่อมองหน่วยจัดการ อาจกล่าวได้ว่า การจัดสวัสดิการในสังคมไทยจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและชุมชน และซ้อนทับอยู่กับเรื่องของระบบความสัมพันธ์
หน่วยจัดการในระดับท้องถิ่น เช่น อบต. อบจ.นั้น มีความสำคัญ แต่อบต.เป็นสถาบันใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นประมาณสิบปี ยังมีปัญหาอยู่พอสมควร ปัจจุบัน ยังไม่มีการสนับสนุนเพื่อสร้างศักยภาพให้แก่ท้องถิ่นมากพอ
หน่วยจัดการในระดับชุมชน มีศักยภาพและขับเคลื่อนไปไกลพอสมควร ประเทศไทยมีกลุ่มองค์กรการเงินชุมชนหลายรูปแบบ เงินออมรวมแล้วหลายสิบล้าน กลุ่มเข้มแข็งจริงๆ (มีคุณธรรม มีวิสัยทัศน์ และมีการบริหารจัดการดี) มีประมาณ 10% กลุ่มในระดับกลางประมาณ 30% และกลุ่มที่ยังไม่เข้มแข็งมีประมาณ 60% ข้อเท็จจริงคือ สวัสดิการโดยชุมชนในหลายพื้นที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการเรียนรู้และการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน พร้อมๆกับเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์หรือทุนทางสังคม และการพัฒนาคน โดยผูกเงื่อนไขการได้รับสวัสดิการไว้กับความประพฤติ
จากมุมมองของ อบต. ในบางพื้นที่ การจัดกลุ่มออมทรัพย์แบบแฟชั่นโดยชุมชนไม่มีความพร้อมอย่างแท้จริง (แต่จัดจากแรงผลักของหน่วยงานรัฐในพื้นที่)กลายเป็นเรื่องกดดันแก่ท้องถิ่นเพราะถุกเรียกร้องเงินสมทบทั้งที่กลุ่มอาจไม่ยั่งยืน
ส่วนครอบครัว มีประเด็นเรื่อง ความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวในปัจจุบัน
สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้
หากมองเรื่องการเตรียมการ ในมิติของประเภทของสวัสดิการ นโยบายการออมเพื่อชราภาพเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่บัดนี้ และการเตรียมการต้องมองมากกว่าการเตรียมเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเตรียมคนและระบบอื่นๆรองรับด้วย
สิ่งที่ต้องคิดคือ การออกแบบระบบ สัดส่วนการรับภาระทางการเงินของรัฐ ปัจเจก (บุคคลและครอบครัว) และชุมชนจะเป็นอย่างไร หน่วยจัดการจะเป็นใครทำงานอย่างไร ซึ่งอาจต่างกันในสวัสดิการแต่ละเรื่อง และต้องคิดบนฐานระบบความสัมพันธ์ด้วย
นัยยะจากเรื่องหน่วยจัดการ ก็คือ หากรัฐจะให้สวัสดิการผ่านท้องถิ่นหรือองค์กรชุมชน การเตรียมท้องถิ่น การเตรียมองค์กรชุมชนเป็นเรื่องสำคัญ ที่ประชุมไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่เราคิดว่าคงไม่ยากนักถ้าสร้างการจัดการความรู้ดีๆ เพราะขณะนี้มี อบต.และชุมชนที่เป็น best practice อยู่หลายที่ คุณธรรม วิสัยทัศน์ และการบริหารจัดการ สิ่งเหล่านี้เองคือสิ่งที่อาจเรียนรู้ได้จากพื้นที่ต้นแบบ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ของตน ภาคีภายนอกอาจจะมีส่วนช่วยเสริมในเรื่องการทำระบบข้อมูลเพื่อตัดสินใจ และเพื่อความยั่งยืน
ข้อสังเกตเพิ่มเติมของเราคือ การหาทางออกเรื่องความยากจนและสวัสดิการ ต้องลงลึกกว่าข้อมูลระดับมหภาค
เบี้ยยังชีพเป็นกรณีศึกษาการให้สวัสดิการโดยรัฐผ่าน อบต. น่าจะลองใช้เป็นกรณีศึกษาในการดูกลไกการทำงานของ อบต. และผลต่อระบบความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน
ประเด็นแรงงานในระบบและแรงงานข้ามชาติ มีประเด็นแตกต่างที่ต้องกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
ในฐานะผู้จัดที่เป็นผู้ฟังด้วย เห็นว่า เสวนาครั้งนี้ได้รับประโยชน์มาก และต้องขอขอบคุณวิทยากรและผู้เข้าร่วมเสวนาทุกท่านมา ณ ที่นี้
เสียดายมากค่ะ ที่ไม่ได้ไปร่วม ต้องขอบคุณ อ.มากค่ะที่ช่วยสรุปประเด็นมาฝากกัน
เห็นด้วยมากค่ะว่า การเตรียมท้องถิ่น การเตรียมองค์กรชุมชนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เฉพาะเมื่อรัฐต้องการจะให้สวัสดิการผ่านท้องถิ่นหรือองค์กรชุมชนเท่านั้น แต่การคิดนโยบายอื่นๆ เช่น "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อทุกคนในประเทศไทย" ที่บางส่วนพูดๆ กัน ก็ต้องมาจากฐานที่ชุมชนพร้อม ไม่งั้นจะยิ่งเป็นปัญหามาก โดยเฉพาะยิ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ
รอ อ.ปัท มาช่วยเตรียมชุมชนทางนี้นะคะ