หลังจากที่ได้เสนอความคิดเรื่องการใช้"การฟัง"เป็นต้นทางของการสร้างวินัย และความมีหัวใจนักปราชญ์ไปแล้ว คุณครูเนาวนิจ ซึ่งสอนวิชาภูมิปัญญาภาษาไทยในชั้นมัธยม ได้ทดลองนำแนวทางที่เสนอแนะไว้ไปขยายผล แล้วบันทึกบรรยากาศในห้องเรียนกลับมานำเสนอให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชุมชนผู้สนใจ ดังต่อไปนี้
เช้าวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เด็กๆ ชั้น ๗ เริ่มต้นการเรียนด้วยการคัดพระพุทธพจน์
“ขันตี ธีรสฺสลงฺกาโร”
ขันติ เป็นคุณสมบัติของนักปราชญ์
บททดสอบที่หนึ่ง
ครูถามเด็กๆ ว่า คำใดในพุทธพจน์ที่แปลว่าขันติ และคำใดแปลว่านักปราชญ์ จากนั้นถามต่อว่า ขันติเกี่ยวกับการเป็นนักปราชญ์อย่างไร และให้ตัวแทนนักเรียน ๕ คน ที่ครูจะสุ่มเลือกออกมาแสดงความเห็นในหัวข้อนี้โดยที่คนอื่นจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดี กิจกรรมนี้จะเป็นการทดสอบเรื่องการฟังต่อเนื่องเป็นครั้งที่สาม เริ่มต้นนักเรียนจะมีคะแนนอยู่กับตัว ๑๐ คะแนน แต่เมื่อมีปัญหาในการฟังก็จะถูกเตือนและหักคะแนนการฟังเป็นครั้งๆ ไป นอกจากนั้นมีกติกาเพิ่มว่า เมื่อคนแรกพูดแล้ว คนที่สองจะต้องทวนสิ่งที่เพื่อนคนแรกพูดเสียก่อนจึงค่อยแสดงความเห็นของตนเอง จากนั้นเมื่อคนที่สามมาพูดก็ต้องทวนสิ่งที่เพื่อนคนแรกและคนที่สองพูดก่อน แล้วจึงแสดงความคิดเห็นของตน เด็กๆ จะต้องทำเช่นนี้เรื่อยไปจนครบทั้งห้าคน
เด็กๆ ต้องพยายามฟังเพื่อนพูดเพราะไม่รู้ว่าตนจะถูกเรียกเป็นลำดับต่อไปหรือไม่
นักเรียนคนแรก เสนอว่า การที่เรามีขันติ มีความอดทนก็จะทำให้เราสามารถฟัง คิด ถาม และเขียนได้ และจะเป็นผู้มีความรู้
นักเรียนคนที่สองออกมายืนอึกอัก และต้องให้เพื่อนช่วยเพื่อทวนสิ่งที่คนแรกได้พูดไป แต่ก็พูดได้ไม่ครบถ้วนนักเมื่อพูดถึงคุณสมบัตินักปราชญ์ แล้วเสนอว่าการมีขันติทำให้เรามีความรู้
คนที่สามคือทวนสิ่งที่นักเรียนทั้งสองคนพูดไปด้วยอาการติดขัด เพื่อนต้องคอยช่วยเมื่อพูดผิด แต่ต่อมาก็เสนอว่าขันติทำให้เรามีปัญญา
คนที่สี่ เมื่อพูดมีอาการอึกอัก และลำดับความคิดไม่ได้ เพื่อนในห้องคอยช่วยจนพูดทวนได้ทั้งหมด แล้วเสนอว่าการมีขันติทำให้เราเรียนสิ่งที่เราต้องเรียนได้
คนที่ห้า ออกมาพูดแทนเพื่อนซึ่งเจ็บคอ เธอพูดทวนสิ่งที่เพื่อนพูดทั้งหมดได้ชัดเจน แล้วเสนอต่อว่าการมีขันติทำให้เรามีความอดทนแม้จะต้องเรียนรู้สิ่งที่เรายังไม่อยากเรียนรู้
ครูให้นักเรียนคนที่หกออกมาสรุปทั้งหมด แต่ก็ยังพูดทวนได้เฉพาะประเด็นที่นักเรียนสองคนแรกพูดแล้วติดขัด ครูจึงให้คนอื่นช่วยกันพูดจนครบประเด็น จากนั้นให้ทุกคนลองเขียนสรุปด้วยภาษาของตัว เอง แล้วครูจึงอธิบายเพิ่มเติมว่าการไม่ตั้งใจฟังทำให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง และได้ชมนักเรียนคนแรกว่าสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ฟังในวันนี้คือเรื่องขันติ เข้ากับคุณสมบัติของนักปราชญ์คือ สุ จิ ปุ ลิ ซึ่งได้เรียนไปเมื่อวานนี้ ได้อย่างดีมาก แสดงให้เห็นว่ามีการฟังอย่างตั้งใจมาตลอดสองวัน และใช้ความคิดใคร่ครวญ เมื่อเห็นคำว่านักปราชญ์ในพระพุทธพจน์แล้วจึงสามารถมองลึกไปจนเห็นคำว่าสุ จิ ปุ ลิ ในนั้นด้วย (เป็นด้านที่ไม่ปรากฏ)
บททดสอบที่สอง
ครูให้เด็กๆ ทดสอบเรื่องการฟังอีกครั้ง โดยแจกส้มให้กับนักเรียนแถวละ ๑ ผล แล้วตั้งกติกาว่าให้เด็กๆ ปฏิบัติตามคำสั่งไปทีละขั้นตอน
เริ่มต้นจากการให้เด็กที่นั่งหัวแถวใช้ตาดูและใช้มือสัมผัสส้มนั้นแล้วส่งต่อให้เพื่อนไปจนจบแถว คนที่ได้ส้มแล้วให้เขียนบรรยายเกี่ยวกับส้มลูกนี้ว่าเป็นอย่างไร
ขั้นที่สอง เด็กๆ ต้องดมกลิ่นส้ม แล้วเขียนบรรยาย
ขั้นที่สาม เด็กที่หัวแถวต้องแกะส้มแล้วหยิบชิมหนึ่งชิ้น แล้วส่งต่อๆ กันไป แล้วเขียนบรรยาย
ครูบอกว่าจะเฉลยให้เด็กๆ เห็นปัญหาเรื่องการฟังของเด็กๆ ในห้องนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยเลือกให้นักเรียนแถวที่สี่บอกข้อความที่แต่ละคนเขียนบรรยายเกี่ยวกับส้มเมื่อใช้ตาดูและมือสัมผัส เด็กนักเรียนสี่คนระบุเกี่ยวกับสีและผิวของส้ม สติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่ บางคนระบุได้น้อยมาก พูดถึงเฉพาะสีของส้ม ในขณะที่อีกคนบรรยายได้ละเอียดมากถึงลายบนผิวส้ม (จนเพื่อนๆ โห่ และครูก็ตัดคะแนนไปเป็นระยะ โดยแจ้งเด็กๆ ว่าที่ตัดเพราะมีปัญหาในการฟัง คือ ไม่มีมารยาท – แล้วครูก็โดนโห่บ้าง – เป็นโอกาสที่ครูจะหักคะแนนต่อ :)
ครูเลือกแถวที่สองให้บอกว่าเขียนบรรยายเรื่องกลิ่นอย่างไรบ้าง บ้างบอกสั้นๆ ว่า มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว บ้างก็บอกว่าด้านนอก (เปลือกส้ม) ไม่มีกลิ่น แต่ด้านในมีกลิ่นส้ม อีกคนตอบว่ามีกลิ่นเปรี้ยว นักเรียนหญิงคนหนึ่งบอกว่า คิดว่ามีกลิ่นเปรี้ยวและหอมด้วยแต่ไม่แน่ใจเพราะตนเป็นหวัดอยู่
ครูเลือกแถวหน้าให้บอกว่ารสชาติส้มเป็นอย่างไร นักเรียนชายสองคนบอกว่ารสเปรี้ยวอมหวาน บางคนบอกว่ากลิ่นเหม็นเปรี้ยว
ครูบอกเด็กๆ ว่าปัญหาการฟังของเด็กๆ ก็คือ เริ่มตั้งแต่เมื่อบอกให้บรรยายเกี่ยวกับส้มลูกนี้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่เด็กๆ ระบุในแต่ละประเด็นด้วยข้อความสั้นๆ เป็นส่วนใหญ่ เมื่อเพื่อนบรรยายได้ละเอียดก็กลับโห่ฮา ต่อมาเมื่อให้ระบุกลิ่นก็มีเพียงคนเดียวที่พยายามเปรียบเทียบกลิ่นของเปลือกส้มและผิวด้านใน และเมื่อต้องระบุเรื่องรส ก็ระบุเพียงรสที่ลิ้นสัมผัสได้ แต่ไม่ขยายความว่าเมื่อส้มผ่านจากปากลงไปที่คอแล้วรู้สึกอย่างไร ส่วนคนที่บ่นหิว เมื่อทานส้มแล้วมีใครรู้สึกแปลกๆ ในท้องบ้างหรือไม่ และที่ต้องพิจารณาให้ดีก็คือ คนที่บอกว่ารสของส้ม “เหม็นเปรี้ยว” เพราะเป็นการไม่ฟังให้ดีว่าครูถามเรื่องกลิ่นหรือรส เมื่อฟังไม่ดีก็ทำให้ตอบผิด
ทั้งหมดนี้คือปัญหาเรื่องการฟังของเด็กๆ ซึ่งมีผลไปถึงการเรียนการสอบในทุกๆ วิชา ถ้าเด็กๆ เห็นคะแนนในสมุดพกก็ควรจะมองให้เห็นว่าคะแนนหรือเกรดที่ได้น้อยนั้นเป็นเพราะเหตุจากไม่ฟังให้ดี ไม่ใช่เพราะเด็กๆ ไม่มีสติปัญญา เพราะฉะนั้น การที่ภาคการเรียนนี้เป็นภาควิมังสา ซึ่งหมายถึงการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง และพิจารณาให้รอบคอบ เด็กๆ ควรมองให้เห็นปัญหาของตนเองเสียแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเดินทางไปไม่ถึงความสำเร็จตามหลักอิทธิบาทสี่
เด็กๆ ทำท่าเข้าใจและดูเหมือนหลายคนจะเข้าถึงสิ่งที่ครูพูด แต่มีหลายคนที่ยังพูดไม่รู้ฟัง และคอยชวนเพื่อนข้างๆ คุยจนครูต้องเตือนว่าคะแนน ๑๐ คะแนนที่มีอยู่ในตอนต้นได้หมดไปแล้ว และต้องขอตัดคะแนนที่ได้เมื่อวานต่อ เด็กๆ หัวเราะกันใหญ่ และเงียบลงได้อีกครู่หนึ่ง
ท้ายชั่วโมง
ครูซักถามเรื่องหัวข้อหนังสือทำมือที่เด็กๆ จะต้องเขียนส่งในปลายภาค และขอให้เด็กๆ ส่งหัวข้อเรื่องในสัปดาห์หน้าเพื่อเริ่มต้นทำโครงงานและเก็บข้อมูล จากนั้นยกตัวอย่างเรื่องที่พี่ชั้น ๘ เขียนไว้เมื่อปีที่แล้ว ว่าเขียนเรื่องอะไร และมีมุมมองอย่างไรกับเรื่องที่ตนเองเขียน ครูพูดเชื่อมโยงถึงเรียงความชิ้นที่สองของเด็กๆ ที่ทำได้ดีขึ้นเป็นส่วนใหญ่ มีบางคนที่เห็นโครงสร้างงานของเพื่อนที่ครูนำมาเป็นตัวอย่างในการปรับแก้งานเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว ก็สามารถเขียนเรื่องที่มีโครงสร้างของเรียงความได้ถูกต้อง นอกจากนั้น ครูพูดถึงการเขียนเรียงความของเด็กๆ หลายคนที่ได้นำเสนอมุมมองหรือประเด็นเกี่ยวกับเรื่องที่เขียนได้อย่างดี คือมีการระบุข้อคิดเห็นหรือแสดงความรู้สึกต่อเรื่องที่เขียนจากมุมมองของตนเอง ซึ่งทำให้คนอ่านประทับใจ เช่น งานเขียนเรื่อง “ความทุกข์ของฉัน” ที่พูดถึงสุนัขที่ตายจากไป งานเขียนเรื่อง “เพื่อนที่ดีที่สุด” ที่พูดถึงเพื่อนชาวไต้หวันที่สนิทกันเมื่ออยู่โรงเรียนเก่า งานเขียนเรื่อง “เพลงที่เพราะที่สุด” ที่พูดถึงเพลงที่ชอบและให้รายละเอียดเกี่ยวกับเพลงได้ว่าก่อให้เกิดความรู้สึกชอบได้อย่างไร
ครูให้เด็กๆ ทดลองเขียนเรื่องหนึ่งเรื่องให้ยาวที่สุดภายในเวลา ๑๐ นาทีที่เหลืออยู่ โดยลองดูว่าเมื่อถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขเวลาแล้วจะเขียนอะไรออกมาได้มากแค่ไหน เด็กบางคนต่อรองเรื่องจำนวนบรรทัด เรื่องไม่อยากเขียน เรื่องไม่มีหัวข้อ ครูอนุญาตให้เป็นหัวข้ออิสระ ส่วนคนที่ไม่อยากเขียนเรียงความจริงๆ ให้ทำย่อความบทความ ๒ เรื่องให้เสร็จ คือเรื่อง “ปาร์ตี้บาร์บีคิว” และเรื่อง "ใส่บาตร” เด็กใช้เวลาทำงานอย่างตั้งใจและไม่ส่งเสียงรบกวนใดๆ เมื่อถึงกำหนดครูให้รีบสรุปเรื่องและส่งงานโดยไม่ให้กลับไปทำต่อที่บ้าน ส่วนการบ้านวันนี้เป็นการคัดไทยจากเอกสาร บทประพันธ์คัดสรร – ๓ เด็กๆ บ่นกันตามเคย แต่ครูบอกว่าการคัดการเขียนเหมือนการฝึกกระบี่ของจอมยุทธ์ ต้องฝึกฝนบ่อยๆ จนกระบี่กับใจประสานกันเป็นหนึ่งเดียว เด็กๆ หัวเราะ (คงคิดว่าครูโม้อีกตามเคย) แล้วเราก็แยกย้ายกันไปทานกลางวัน
น้องใหม่ที่น่ารัก พี่ว่าน่าจะรวบรวมเพชรแห่งประสบการณ์ไว้ทุกตอน รวมเล่มเป็นคัมภีร์ยกระดับการฟัง การรู้ และการตื่น
จะขอนำไปประยุกต์ให้นักการเมืองลองหัดฟังเสียงคนไทยตาดำๆ ดูบ้าง ได้ผลอย่างไรจะรายงานให้คณูใหม่ทราบครับ
ขอเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับบทประพันธ์คัดสรรน่าจะมีบทกลอนตัวอย่างให้บ้างนะค่ะเพราะดิฉันหรือเด็กบางคนอาจจะต้องการดูตัวอย่างบทประพันธ์บ้างนะค่ะขอจบเพียงเท่านี้นะค่ะ ขอบคุณค่ะ