คำกล่าวที่ว่า เทือกเถาเหล่ากอ, เหล่าทหาร, เหล่านั้น และเหล่านี้ ไม่ต้องเปิดพจนานุกรม เราก็คงรู้ได้ว่าหมายถึง กลุ่ม พวก หมวดหมู่ของคน เชื้อแถว ว่านเครือ ก็เรียกว่าเหล่า
หลายหมู่บ้านในท้องถิ่นภาคอีสาน มีการนำคำว่า “เหล่า” มาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน/ตำบล/อำเภอ เช่น บ้านเหล่า บ้านเหล่านาดี บ้านเหล่านกชุม บ้านเหล่าเกวียนหัก บ้านเหล่าโพนทอง (จังหวัดขอนแก่น) อำเภอเหล่าเสือโก้ก บ้านเหล่ากกหุ่ง (อุบลราชธานี) เป็นต้น
เมื่อศึกษาความหมายจากเอกสารพบว่า
1) พจนานุกรมลาว-ไทย-อังกฤษ ฉบับเฉลิมพระเกียรติ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2543: 565) กล่าวว่า เหล่า : (adj.) ป่าที่ต้นไม้แตกขึ้นใหม่หลังการตัด
2) สารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ (ปรีชา พิณทอง 2532: 898) ให้ความหมายพร้อมยกบทวรรณกรรมอีสานโบราณ/ลาวมาประกอบไว้ว่า เหล่า: น. ไร่หรือสวนที่ทิ้งไว้จนรกร้างว่างเปล่า เช่น "น้อยดุ่งดั้นเถิงเหล่าดอนเลา ไพรสณฑ์แสนด่านกวางดูกว้าง” (สังข์สินไชย) และ “กูจักข้ามเหล่าไม้เมือสู่เมืองบน ก่อนแล้ว คราวไกลแสนชั่วผอมผายกว้าง” (ท้าวฮุ่ง)
3) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 (2539: 901) เหล่า : (ถิ่น-อีสาน) ที่ซึ่งเคยเพาะปลูกแล้วทิ้งให้ร้าง (ถิ่น-พายับ) ป่าละเมาะ
คนโบราณทำไร่แล้วทิ้งให้เป็น "เหล่า" นี้ คนละบริบทกับปัจจุบันนะครับ เนื่องจากสมัยก่อนป่าดงมีมหาศาล เมืองใหญ่ก็ตั้งอยู่กลางป่าก็ว่าได้ เหตุผลทางธรรมชาติ ทางการเมืองก็มีส่วนสำคัญที่ประชาชนทิ้งบ้าน เช่น ภัยธรรมชาติ/สัตว์ป่า/โรคระบาด/ การหนีศัตรู/ข้าศึกกวาดต้อน /การหลบการเกณฑ์ทัพ/หนีส่วยไพร่ ฯลฯ
จากการใช้เรียกใช้พูดมา พอสรุปได้ว่า "เหล่า" เป็นกึ่งป่ากึ่งที่ที่ชาวบ้านเข้าไปทำมาหากิน เช่น ไปตัดไม้ หาของป่า ล่าสัตว์ ใช้เลี้ยงสัตว์ และ เป็นที่สัตว์ป่าออกมาหากินได้เป็นบางโอกาส เช่น คำพูดที่ว่า “เสือออกเหล่า” (เสือออกมาล่าวัวควายชาวบ้านที่เหล่า) “เหล่าเสือโก้ก”(เหล่าที่เสือออกมาร้อง โก้ก โก้ก) เหล่านกชุม (เหล่าที่มีนกมากมาย)
การนึกภาพง่าย ๆ ในที่ที่คนใช้ประโยชน์และระบบนิเวศน์ธรรมชาติดำรงอยู่ร่วมกัน ถ้าอยู่ริมลำน้ำใหญ่เรียกว่า บุ่ง หรือป่าบุ่ง ถ้าอยู่ริมดงใหญ่ ก็เรียกเหล่า คล้ายกันครับ
ผมไปเป็นครู กศน. ที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากได้ยินชื่อ กิ่งอำเภอเหล่าเสือโก้ก(ปัจจุบันเป็นอำเภอแล้ว) ยังชอบชื่อหมู่บ้าน เหล่ากกหุ่ง (แปลตรง ๆ ว่าเป็นเหล่าที่ชาวบ้านเข้าไปปลูกมะละกอ) ว่าช่างไพเราะ ได้อารมณ์และความหมายดีแท้
ในความเป็นปรัชญาคำสอน ปราชญ์โบราณกล่าวเป็นผญาภาษิตไว้ว่า “เหมิดดงยังเหล่า เหมิดเฒ่าแก่ยังลูกหลาน” (เหมิด: หมด) อาจารย์ปรีชา พิณทอง (2528: 132) อธิบายผญาภาษิตบทนี้ว่า “ป่าใหญ่เรียกดง ดงน้อยเรียกป่า ป่าน้อยเรียกเหล่า เหล่าเกิดจากป่า ป่าเกิดจากดง เกิดติดต่อกันมาอย่างนี้ ในทำนองเดียวกันคนเราก็มีพ่อแม่ลูกหลาน เกิดสืบต่อกันไปไม่ขาดสาย หมุนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์อนันตชาติ”
ปัจจุบันชื่อท้องถิ่น "บ้านเหล่า..." ต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นไม่มีลักษณะความเป็นดง ป่า หรือเหล่าอยู่เลย หรือหากจะมีบ้างก็เพียงร่องรอย เช่น ความเป็นที่เนินป่า มีพื้นลาดเป็นแนวน้ำซับให้เห็นอยู่บ้างเท่านั้น
และทั้ง ๆ ที่ป่าโดนตัด เหลือทิ้งรกร้างไว้ก็มากมายทั่วทุกพื้นที่ แต่ก็ไม่มีที่ไหนนำมาเรียกว่า “เหล่า” อีกแล้ว เพราะปัจจุบันมีคำที่ใช้เรียกป่าที่ควรเป็น "เหล่า" ว่า ที่ สปก.4-01 ไปเสียหมด
เหล่าจึงเป็นคำโบราณที่แสดงความอุดมสมบูรณ์ ที่ทั้ง คน สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า ร่วมกันดำรงชีพ ในสภาพที่พึ่งพิงอาศัยกันและกันมาในอดีต...
ผมใคร่ขอนำผญาภาษิต ที่เกี่ยวกับการพึ่งพาอาศัยกันและกันของวิถีสิ่งมีชีวิตและเกี่ยวข้องกับ “เหล่า” มาส่งท้ายสู่ท่านด้วยบทที่ว่า
“เสื่อสางช้างกวางฟานอาศัยป่า ป่าอาศัยสัตว์สิ่งฮ้าย จึงหนาแน่นมืดมุง เฮาอาศัยบ้าน บ้านเพิ่งบุญเฮา คันหากเฮาหนีเสีย กะเกิดเป็นดงไม้ คันเฮาหนีไกลบ้าน เฮือนซานสิเป็นป่า บ้านสิเป็นเหล่าเฮื้อ เครือสิเกี้ยวมืดมุง” (สีน้ำ จันทร์เพ็ญ และคณะ 2544: 343)
ศัพท์ที่สำคัญ ฟาน: เก้ง เพิ่ง: พึ่ง คัน: ครั้น,ถ้า เฮื้อ: ที่รก
แถบท้องถิ่นท่านมีชื่อหมู่บ้านเหล่าอะไรที่แปลก ๆ ไพเราะบ้างครับ ผมอยากทราบและเป็นการขยายการรับรู้ ในประวัติความเป็นมาอันอบอุ่น อุดมสมบูรณ์ของ “เหล่า” นั้น ๆ ให้พวกเราทราบทั่วกันครับ สวัสดีครับ.
อ้างอิง
ปรีชา พิณทอง. 2528. ไขภาษิตโบราณอีสาน. อุบลราชธานี: ศิริธรรม.
-----------------. 2532. สารานุกรมภาอีสาน-ไทย-อังกฤษ. อุบลราชธานี: ศิริธรรม.
ราชบัณฑิตยสถาน. 2539. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพ ฯ: อักษรเจริญทัศน์.
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2543. พจนานุกรมลาว-ไทย-อังกฤษ ฉบับเฉลิมพระเกียรติ. กรุงเทพฯ: คณะมนุษยศาสตร์ มหวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สีน้ำ จันทร์เพ็ญ. 2544. มูลมังดั้งเดิม ฉบับคัมภีร์พราห์ม-ผญาสอนพรทิพย์. กาฬสินธุ์: มูลมังดั้งเดิม.
ขอขอบคุณมากครับ****ผมนำไปออกอากาศตอนเช้าในรายการข่าวเด็ดร้อยเอ็ดเช้านี้**06.00-07.00น.ทุกวันครับ**ขอบคุณมากๆๆ***
สวัสดีครับครูชา
เพิ่งเข้าใจคำว่า "เหล่า" อย่างจริงจังวันนี้แหละครับ เพราะไม่เคยคิดสงสัยเหมือนที่อาจารย์ตั้งข้อสังเกตเลยครับ
ขอบพระคุณมากสำหรับความรู้ครับ
ขอบคุณท่าน 5. c เมื่อ พ. 21 พ.ย. 2550 @ 00:12
464413 ครับที่แวะเยี่ยม
สวัสดีครับ
ภาษาอีสานกับคำเมืองทางเหนือมีความเหมือนกันอยู่มากครับ
ทางเจียงใหม่ คำว่าเหล่า หมายถึงที่รกร้างที่ผ่านการหหักร้างถางพงเหมือนกันครับ
เช่นคำว่า ไฮ่เหล่า หมายถึงไร่ร้างครับ
และมีชื่อบ้านเหล่าอยู่หลายหมู่บ้านเช่นกันครับ
สวัดีครับคุณ paleeyon
ขอบคุณที่แวะเยี่ยมและเพิ่มความรู้ครับผม
ขอบคุณท่าน ผอ.
ภาษาอิสานวันละคำ ครับ
เรียน คุณครูชา ครับ
ผมมาเรียนรู้ด้วย เพราะ ปัจจุบันคำนี้ เป็นคำที่เข้าใจยาก และดูเหมือนจะหายไปจากสังคมอีสานไปบ้างแล้ว และคุณครูอธิบายได้กระจ่างชัดดีครับ
ขอบคุณครับ
เรียน คุณครูชา ครับ
ด้วยความไม่คุ้นเคยกับ Gotoknow ผมเลยพลาดไม่ได้ลงชื่อครับ
เรียน คุณครูชา
ขอบคุณครับที่แนะนำ เวทีนี้ดี สำหรับการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้อย่างสร้างสรรค์
ให้ผมหาฤกษ์งามยามดีก่อนนะครับ อิอิ
อยากทราบว่าหนังสือมูลมั้งดังเดิม ยังมีขายหรือเปล่า แล้วขายที่ไหนบ้าง
เรียน คุณครูชา
ขอบคุณมากค่ะ
พอดีอยากได้สักเล่ม แต่ในเขต กทม.ไม่ทราบว่าจะหาได้หรือเปล่า
ขอโทษด้วยที่ฉบับแรกไม่สุภาพเท่าไหร่ (รีบมากไป) แอบส่งเวลางานค่ะ