มีหลายสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ในวัยเด็กเล็ก มิฉะนั้นจะเรียนรู้ไม่ได้ดีไปตลอดชีวิต
พอดีได้ฤกษ์ทำความสะอาดบ้านเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา.... (ความขยัน มันมีช่วงเวลาของมัน) เห็นหนังสือเล่มนึงน่าสนใจ เลยอยากจะนำมาคุยแลกเปลี่ยนกันน่ะค่ะ ใครเคยอ่านหนังสือ รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว บ้างคะ ซึ่งเขียนโดย มาซารุ อิบุกะ ประธานกิตติมศักดิ์ผู้ก่อตั้งบริษัทโซนี่ ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นคนไทยก็นำมาแปลและเรียบเรียง ติดอันดับหนังสือยอดมเยี่ยมนับแต่เริ่มพิมพ์จนถึงปัจจุบัน ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน และไม่คิดจะเสียเงินซื้อ โหวตเข้ามา จะได้มีเรื่องให้ผู้เขียนเม้าท์ได้หลายตอน อิอิ... ก่อนอื่น อยากจะถามคนที่เข้ามาในบล็อกนี้.... ใครภาษาปะกิตแข็งแรงบ้างคะ (ยกเว้นอาจารย์ขจิตนะ) เอาแค่ว่าพูดได้ พูดรู้เรื่อง ฝรั่งไม่งง (แต่เรางง....ตูพูดอารายออกปาย....5555).....เดาเอา (ไม่รู้ถูกป่าว) มีเยอะละกันน่า.... จะสรุปจากที่อ่านมาละกันว่า... แม้ว่าบางที เราจะพูดภาษาอังกฤษได้ แต่สำเนียงมันไม่ใช่อ่ะ มันม่ายช่ายย....คนญี่ปุ่นก็จะภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น คนไทยก็จะภาษาอังกฤษสำเนียงไทย ....คุณมาซารุ แกก็ปวดเฮทเหมือนกันเพราะต้องใช้ภาษาในการติดต่องาน แต่ทว่า....เด็กผู้ชายอายุ 1 ขวบ 2 เดือน (เด็กญี่ปุ่นนะ) ที่อยู่ข้างบ้านแก ออกเสียงภาษาอังกฤษชัดแจ๋ว แม้แต่เสียง R และ L ซึ่งชาวญี่ปุ่นแยกได้ลำบาก แต่เด็ก บ่ มีปัญหา คุณมาซารุ แกก็วิเคราะห์ว่า แกเริ่มเรียนภาษาอังกฤษชั้นมัธยมต้น (อิฉันโชคดี ที่เรียนมาแต่อนุบาล แต่ผลลัพธ์พอกัน...555) แต่เด็กคนนี้ฟังเสียงภาษาอังกฤษจากแผ่นเสียงตั้งแต่อายุยังไม่ถึงขวบ (ใครมีลูก เลิกงานรีบกลับบ้านไปซื้อมาเลย) และขณะที่คุณมาซารุกำลังจะเริ่มพูดภาษาญี่ปุ่น เด็กคนนี้ก็เรียนสนทนาภาษาอังกฤษกับชาวอเมริกันแล้ว..... นั่นหมายความว่า ถ้าหากในหัวของเรามี “รูปแบบ” ของภาษา ไม่ว่าจะไทยหรือญี่ปุ่น ฝังเข้าไปอยู่ข้างในเสียก่อนแล้ว การจะเอาภาษาอื่นซึ่งแตกต่างออกไปใส่เข้าไปในนั้นอีกจึงยุ่งยากมาก แต่เค้าก็บอกไว้ว่า เส้นสายสมองของเด็กอายุยังไม่ถึง 3 ขวบ นั้น กำลังอยู่ในระหว่างการวางสาย เพราะฉะนั้น ถ้าจะวางสายภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาไทยควบคู่ไปกับภาษาอื่นๆ ไม่ว่าภาษาอะไรได้เหมือนกับภาษาแม่ของตน โดยไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลย ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากเราปล่อยให้เวลาช่วงนี้ผ่านเลยไป สิ่งที่เด็กวัยก่อน 3 ขวบ สามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นสิ่งยากยิ่งสำหรับคนวัยสูงกว่านั้น และถึงแม้ว่าจะใช้ความพยายามอย่างมากมาย ผลที่ได้กลับน้อยนิด (มีใครถอดใจไหมเนี่ย....) หันมามองระบบการศึกษาของไทยกันบ้าง ถ้าเป็นระบบโรงเรียนสองภาษา เด็กไทยสามารถพูดและสื่อสารได้ (ค่าเทอมถูกกว่าอินเตอร์แต่แพงกว่าแบบธรรดาทั่วไป) แต่ถ้าเป็นแบบทั่วไป มีการเรียนภาษาอังกฤษ เฉพาะในคาบเรียนนั้น นอกคาบเรียนหรือวิชาอื่นก็พูดภาษาไทยกัน และหากครูสอนไม่ใช่ฝรั่งด้วยแล้ว การที่เด็กไทยจะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษย่อมยากแท้แน่นอน…นับประสาอะไรกับคนสูงวัย...(สว.) จริงไหม....เฮ้อ!สวัสดีครับ
ไม่สายครับ บ่ายคล้อยแล้ว อิๆ ล้อเล่นนะครับ
เล่มนี้เคยอ่านนานแล้ว ลืมๆ ไปแล้ว
ผมไม่เคยเรียนอนุบาล มาเรียนภาษาอังกฤษตอน ป.5 โรงเรียนวัด ก็พอรู้เรื่องครับ
ปัจจุบัน มีหนังสือเกี่ยวกับการศึกษา การพัฒนาสมอง แนวๆ นี้เยอะมากครับ
ความเห็นผม เรียนภาษาต่างประเทศไม่ต้องใช้เวลามาก 2-3 ปี ก็พอ สำหรับการฟัง พูด อ่าน เขียน ในชีวิตประจำวัน แต่ที่เรียนในโรงเรียน โดยมากจะแบบผิวเผิน ไม่ได้เน้นการใช้งาน เราแค่รู้สึกเหมือนได้เรียน ความจริงแล้ว เหมือนอ่านหนังสือผจญภัย แต่ไม่ได้เข้าป่าจริงๆกับเขา ประมาณนั้นครับ
เดาเรื่องผิดอ่ะ...อิอิ
เห็นด้วยที่ว่า "ถ้าหากในหัวของเรามี “รูปแบบ” ของภาษาใดภาษาหนึ่งฝังเข้าไปอยู่ข้างในเสียก่อนแล้ว การจะเอาภาษาอื่นซึ่งแตกต่างออกไปใส่เข้าไปในนั้นอีกจึงยุ่งยากมาก"
เราก็ฝึกภาษาอังกฤษอยู่ตอนนี้ แต่การที่ภาษาไทยมันฝังอยู่ในหัวเรา มันยากที่จะเปลี่ยนความเคยชินในการออกเสียงแบบที่เราคุ้นเคยไปเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง พูดออกมามันก็เลยยังเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไทย แล้วเรื่องความเข้าใจประโยคภาษาอังกฤษ ก็เหมือนกับว่า เราต้องเข้าใจโดยผ่านภาษาไทยอยู่ดี
แต่มันก็คงไม่เกินความพยายามของเราไปได้หรอก (มั้ง)
สวัสดีค่ะ