กระแสหลักการปฏิรูปเศรษฐกิจสังคม
ในปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่าการปรับเปลี่ยนของโลกทุนนิยมได้สร้างกระแสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
โดยใช้องค์ความรู้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมให้ไปถึงเป้าประสงค์หรือจุดหมายที่วางไว้
หากเทียบเคียงกับภาพการพัฒนาประเทศไทยก็จะมองเห็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๙ เป็นตัวตั้งและมีทรัพยากรมนุษย์หรือ (man power)
เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยคนที่มีความรู้
ความสามารถ มีศักยภาพในการทำงานนำไปสู่การพัฒนาที่ต่อเนื่อง
ยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
หัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
มีแนวทางสำคัญๆอย่างน้อย ๓ ประการ ดังต่อไปนี้
ประการแรก ได้แก่
คนต้องมี ความรู้ ความสามารถ (Knowledge &
ability)
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นจุดหมายปลายทาง
แต่จุดหมายแรกควรคำนึงถึงการเริ่มต้นพัฒนาความรู้ความสามารถของคนในหน่วยงาน
องค์กร ให้มีความรู้รอบ รู้ลึก และมีความสามารถในการบริหารจัดการ
ทำงานอย่างเป็นระบบเสียก่อน
ประการที่สอง ได้แก่
คนจะต้องได้รับการฝึกทักษะ และประสบการณ์ในการทำงาน
(Skill & Experience) กล่าวคือ
ผู้ที่จะประกอบกิจการงานใดๆก็ตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่มีความสลับซับซ้อนหรืองานที่จะต้องใช้ทักษะเฉพาะด้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการฝึกคนให้มีทักษะประสบการณ์ในการทำงานนั้นๆจนเกิดความมั่นใจ
และนำไปสู่การพัฒนาจนเกิดความชำนาญ
จนกระทั่งเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆในที่สุด และ
ประการสุดท้าย ได้แก่
คนจะต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creative
thinking)
คงต้องยอมรับว่าในยุคปัจจุบันเป็นยุคของการแข่งขันเชิงคุณภาพ
ไม่ว่าหน่วยงาน สถานศึกษา องค์กรของรัฐหรือเอกชน
ต่างก็มุ่งแสวงหาเอกลักษณ์ ความโดดเด่น
หรือความแตกต่างเพื่อดึงดูดความพึงพอใจของลูกค้าให้ใช้สินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่จะขาดเสียมิได้คือ "การใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์"
พัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการให้แปลกใหม่
ทันสมัยอยู่เสมอ
ดังนั้นหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆจึงไม่ควรมองข้ามจุดนี้ไป
การปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
เมื่อได้ทราบแนวทางดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
ให้ถือว่า "ทุกๆคนมีหน้าที่ปรับตัว" ให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
หรือต้องทำตัวเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเสียเองโดยการเข้าร่วมกิจกรรมการประชุม
อบรม สัมมนา ศึกษา-ดูงาน ศึกษาต่อ หรือศึกษาหาความรู้จากการอ่าน
การศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ตลอดจนสื่อสารมวลชนต่างๆอย่างหลากหลาย
ไม่ทำตัวหรือวางตนเป็นเสมือน
"นำล้นแก้ว"และพร้อมที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
ออกแรงศึกษา
แลกเปลี่ยนเรียนรู้
จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าบุคคลสำคัญที่จะทำให้การจัดการความรู้ในหน่วยงานหรือองค์กร
ประสบผลสำเร็จ
สามารถเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ไปสู่เป้าหมายความสำเร็จได้ดีมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
คงไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล นั่นคือ "ตัวเราเอง"
จำเป็นจะต้องออกแรงหมั่นศึกษา หาความรู้
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนทุกแวดวงที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งมีช่องทางในการดำเนินการ ดังนี้
1) การตั้งวงเล่าเรื่อง
เรื่องเล่าเชิงสร้างสรรค์
2)
การพบปะพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น
3)
การใช้เครื่องมือจัดการความรู้เพื่อการสื่อสารในวงกว้าง เช่น Web blog
เป็นต้น
นำไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง
เหนือสิ่งอื่นใดหากมีเพียงความรู้และไม่มีการนำไปสู่การปฏิบัติจริง
ความรู้นั้นไซร้ก็ไร้คุณค่าและคุณประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นนักจัดการความรู้ที่แท้จริงจึงต้องเป็นนักปฏิบัติด้วย
ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติทราบถึงปัญหา อุปสรรค
และแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขปัญหาหรือพัฒนางานโดยวิถีแห่งปัญญา
ด้วยเหตุผลนานัปการที่ได้หยิบยกมานำเสนอในที่นี้ เป็นแนวคิด
มุมมองของผู้เขียน แม้จะมีประโยชน์เพียงน้อยนิดแต่เชื่อมั่นว่าผู้ที่สนใจจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงาน
องค์กร หรือการปฏิบัติงานต่างๆได้เป็นอย่างดี
ไม่มีความเห็น