สวัสดีครับ
คงต้องดำเนินการตามที่ค้างไว้เมื่อวานนี้ วันนี้มาเขียนบทความชื่อเดียวกับบันทึกให้แล้วเสร็จ เชิญอ่านก่อนเดี่ยวค่อยคุยกันนะครับ
การบูรณาการKM ในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลัง
<p align="left"> ในการบริหารการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติราชการ</p><p> พรสกล ณ ศรีโต
ที่ปรึกษาอาวุโส
สำนักงานบริหารยุทธศาสตร์ จังหวัดชุมพร</p><p>
</p><p> การบริหารราชการในยุคแห่งการปฏิรูประบบราชการที่กำลังเกิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาระบบราชการหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น การนำการบริหารเชิงกลยุทธ์มาใช้ในระบบราชการซึ่งรูปธรรมที่เห็นได้คือการใช้แผนบริหารราชการแผ่นดินและแผนปฏิบัติราชการเป็นกรอบการปฏิบัติราชการของทุกกระทรวง ทบวง กรม จังหวัด การใช้เทคนิคการประเมินผลสมัยใหม่โดยการกำหนดตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ(KPI) และนำเทคนิค Balanced scorecard มาใช้ในระบบราชการในการจัดทำและวัดผลคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการต่างๆ การให้ระบบราชการเป็นระบบเปิดโดยการใช้รูปแบบการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในทุกขั้นตอน ซึ่งส่งผลให้แวดวงข้าราชการส่วนใหญ่มีความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ </p>
1.ประเภทต่อต้าน กลุ่มแรกนี้ มีความวิตก สับสน ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงภายในความคิดของตนเองและมีข้อสรุปโดยตนเองตั้งรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์
<p>
2.ประเภทเฝ้าดู กลุ่มที่สองนี้ มีความสับสนขาดความชัดเจนบ้าง แต่ยังวางเฉย รอจังหวะ เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงและมีข้อสรุปโดยตนเองรอดูสถานการณ์เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น(กลุ่มนี้เป็นข้าราชการกลุ่มใหญ่ที่สุด) </p>
3.ประเภทอยากเห็น กลุ่มที่สามนี้ มีความพึงพอใจ อาจมีความสับสนขาดความชัดเจนบ้าง แต่มีความตื่นเต้นอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งดีกว่าและพยายามใช้โอกาสและจังหวะเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยการมีส่วนร่วมและมีข้อสรุปโดยตนเองพยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลงเท่าที่สถานการณ์จะเอื้อให้สามารถดำเนินการได้
ในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ การจัดการความรู้ (KM) เป็นประเด็นใหม่ที่มีการหยิบยกขึ้นมาโดยกำหนดเป็นตัวชี้วัดการปฏิบัติราชการที่มีผลต่อการพัฒนาองค์การในมิติที่ 4 โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งน่าจะขัดแย้งกับแนวคิดการจัดการความรู้ที่เป็นอิสระและการกำหนดการจัดการความรู้อย่างมีส่วนร่วม แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ถึงแม้ดูเหมือนจะเป็นวิกฤติแต่ต้องพลิกให้เป็นโอกาส และแน่นอนการจัดการความรู้(KM)ในครั้งนี้ จะทำให้สำหรับหลายคน การจัดการความรู้ (KM) อาจจะเป็นเครื่องมือใหม่ เทคนิคใหม่ซึ่งจะต้องความพยายามฝึกฝนเรียนรู้เครื่องมือการบริหารชิ้นนี้ (เรียนรู้ ทดสอบ ฝึกฝนเครื่องมือการบริหารชิ้นนี้) และสำหรับหลายคนการจัดการความรู้ (KM)เป็นภารกิจใหม่ ชิ้นงานใหม่ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ (สร้างเครื่องมือการบริหารชิ้นนี้ให้เสร็จ)
และขณะเดียวกันข้อเท็จจริงของการจัดการความรู้(KM)คือเครื่องมือการบริหารที่ทรงพลังในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องนำมาใช้(หลังจากสร้างแล้วเสร็จและเรียนรู้ฝึกฝนจนมีความชำนาญ) แต่เครื่องมือการบริหารชิ้นนี้จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย หากไม่นำมาใช้เพื่อบริหารการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงาน และคงจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย ถ้าจะมีเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบแต่ขาดการนำไปใช้ประโยชน์ในงานจริง และเช่นกันก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆเลย ถ้าจะมีผู้เชี่ยวชาญที่ชำนาญการแต่ไม่เคยนำเครื่องมือชิ้นนี้ไปใช้งาน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีจำเป็นใน 3 ประการ คือ
1. จำเป็นต้องมีการสร้างเครื่องมือที่เหมาะสม(เหมาะสมไม่ใช่สมบูรณ์แบบ)
2. จำเป็นต้องฝึกฝนผู้ใช้เครื่องมือชิ้นนั้นพอสมควร(สามารถใช้งานได้ไม่ใช่เชี่ยวชาญ)
3. จำเป็นต้องให้นำมาใช้ในงานจริง(การปฏิบัติงานจริงไม่ใช่วาดความฝัน)
เนื่องจากกระบวนการข้างต้นทั้ง 3 ประการมีประเด็นเรื่องเวลาที่ทุกคนมีเท่าเทียมเป็นตัวชี้วัดและเป็นตัวกำหนดขั้นตอนและแผนปฏิบัติการจริงในเวลาที่มีอยู่ ซึ่งในการดำเนินการทั้ง 3 ประเด็น (จะขาดประเด็นหนึ่งประเด็นใดไม่ได้) ข้างต้นคงต้องใช้เวลาบ้างตามสมควร ( คงไม่สามารถสร้างให้แล้วเสร็จในชั่วลัดนิ้วมือเดียวและคงไม่เนิ่นนานจนเกินเหตุ) ในการดำเนินการจะต้องมีการตรวจสอบความสมดุลย์ในภาพรวมของกระบวนการ 3 ประเด็นข้างต้นตลอดเวลา เพื่อสอบทานยืนยันความสอดคล้องของ คุณสมบัติของเครื่องมือ ความสามารถของผู้ใช้เครื่องมือและความสัมพันธ์กับงานที่จะนำมาปฏิบัติจริง นอกจากจากนี้จะต้องมีการปรับแต่งความสมดุลสอดคล้องของ 3 ประเด็นจนถึงจุดสมดุลเพื่อที่จะนำมาปฏิบัติงานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
</strong><p> ในเบื้องแรกหาก พิจารณาอย่างแยกส่วน (Partial Approach) ก็จะมองไม่ความเชื่อมโยงที่จะเชื่อมต่อกับการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและไม่สามารถผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เต็มประสิทธิผลของการจัดการความรู้ได้ แต่หากสามารถใช้ การพิจารณาแบบองค์รวม (Holistic Approach)อย่างเข้าใจในบริบทของระบบราชการไทยและสังคมไทยที่แท้จริง โดยยอมรับข้อจำกัดที่มีอยู่ ในท่ามกลางโครงสร้าง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับจริง ของระบบราชการเท่านั้น จึงจะสามารถเห็นแนวทางที่จะสร้างความเชื่อมโยง สอดคล้องตลอดจนสร้างความสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้และการบริหารการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะนำมาบูรณาการซึ่งกันและกันได้อย่างแท้จริง และสามารถนำไปสู่ การปฏิบัติการ ”การเปลี่ยนแปลงระบบราชการ” อย่างแท้จริงได้ </p>
คงสามารถที่จะกล่าวได้ว่าการจัดการความรู้(KM)จะมีประโยชน์สูงสุดเต็มศักยภาพ เมื่อมีการบูรณาการKM ในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลังในการบริหารการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติราชการที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะการเปลี่ยนแปลงกระบวนการปฏิบัติงานจริง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของส่วนราชการ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในการปฏิบัติราชการ การเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาศักยภาพของข้าราชการ ในวันนี้การเปลี่ยนแปลงระบบราชการกำลังเกิดขึ้นและรอคอยให้เราเข้าไปบริหารจัดการโดยใช้เครื่องมือการบริหารจัดการที่ชื่อว่า”การจัดการความรู้”
หมายเหตุ บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง องค์การใดๆที่สังกัดทั้งสิ้น
บทความนี้สามารถDownload ได้ที่
http://gotoknow.org/file/45/Km%20Solutions
และมีบทความที่เกี่ยวข้องที่น่าจะมีประโยชน์ที่ควรอ่านสามารถDownload ได้ที่
http://gotoknow.org/file/45/CEO%20Solutions.pdf
ลองค่อยๆอ่านนัยระหว่างบรรทัดนะครับ น่าจะมีคำตอบสำหรับสิ่งที่กำลังสงสัย ต้องการคำตอบอยู่นะครับ และยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็นครับ
พรสกล ณ ศรีโต
19/7/2548
</font></font>