ความเสี่ยงของเกษตรกรในการประกอบอาชีพทางการเกษตร
ในอดีตของชุมชนจะประกอบอาชีพทางการเกษตรแบบยังชีพ มีการแลกเปลี่ยนและแบ่งปัน ผลผลิตทางการเกษตรที่ตนผลิตอยู่ในชุมชน แต่หากช่วงที่มีผลผลิตออกมากก็จะจำหน่ายในตลาดระดับชุมชน
หากจะพูดถึงความปลอดภัยจากสารเคมีที่ตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรแล้ว ในอดีตผลผลิตปลอดภัยแน่นอนครับเพราะว่าไม่มีการใช้สารเคมีเลยหรือมีก็น้อยมาก ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว เราจะสังเกตเห็นคลังอาหารในชุมชนที่เกิดขึ้นในแปลงนาได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา พืชอาหารและสาหร่ายที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติในแปลงนาของเกษตรกร
ในขณะเดียวกันฐานทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน มีสภาพแวดล้อมที่ ที่เป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติได้แก่ป่าไม้ แหล่งน้ำ ห้วยหนอง คลอง บึง รวมทั้งแหล่งอาหารจากป่าธรรมชาติ มีอยู่อย่างเพียงพอ ความอุดมสมบูรณ์ในอดีตทำให้คนที่อยู่ในแต่ละชุมชนในชนบทจึงอยู่อย่างสมดุล
ในปัจจุบันนี้ระบบการผลิตในชุมชน ถูกปรับเปลี่ยนเป็นการผลิตเป็นพืชเชิงเดี่ยวมากขึ้น ซึ่งดำเนินการมาไม่น้อยกว่า20 ปีมาแล้ว โดยหวังพึ่งพิงการตลาดเป็นตัวนำ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ แนวความคิดนี้คาดหวังว่าหากมีการส่งออกได้ดีเกษตรกรผู้ผลิตที่เป็นเกษตรกรคงจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกันครับ ระบบการผลิตทางการเกษตรในชุมชน ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ความจริงแล้วมีอยู่หลายปัจจัย ได้แก่ ฐานทรัพยากรทางธรรมชาติถูกมนุษย์ทำลาย การควบคุมราคาผลิตทางการเกษตรที่สามารถทำให้ผู้ผลิตอยู่ได้ ณ.จุดคุ้มทุน และความเสี่ยงที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ภัยพิบัติจากธรรมชาตินั่นเอง
ผมจะขอยกตัวอย่างเมื่อเร็วฯนี้ ระหว่างวันที่ 13-17 ตุลาคม 2550 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ทำการเกษตรของจังหวัดกำแพงเพชร เกิดฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวัน เกิดน้ำไหลหลาก จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ทำการเกษตรของเกษตรกร ได้รับความเสียหายไม่น้อยเลย ได้แก่
1.พื้นที่ปลูกข้าวในฤดูนาปี 2550 มีพื้นที่ปลูกข้าวของเกษตรกรในเขตอำเภอเมืองกำแพงเพชร อำเภอคลองลาน อำเภอปางศิลาทอง อำเภอคลองขลุง อำเภอขาณุวรลักษบุรีและอีกหลายอำเภอที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม ข้าวที่เสียหายซึ่งอยู่ในระยะกำลังเจริญเติบโต ระยะที่ออกรวง และระยะที่ออกรวงใกล้จะเก็บเกี่ยวแล้ว แต่ก็ถูกกระแสน้ำที่ไหลหลากท่วมเสียหายแบบสิ้นเชิงจำนวนไม่น้อย
ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ท่วมซ้ำซากและต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว
2.พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังและพืชไร่ จากการขยายพื้นที่ปลูกมันสำหลังและพืชไร่อื่นเช่น อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น นอกจากจะปลูกในสภาพพื้นที่ไร่ บางพื้นที่ได้ขยายพื้นที่มาปลูกในสภาพพื้นที่นาดอน ปรกติน้ำจะไม่ท่วม แต่ในฤดูการผลิตปี 2550 นี้เมื่อมีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ก็จะถูกกระแสน้ำไหลหลากอย่างรวดเร็วทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังและพืชไร่อื่นได้รับความเสียหายไม่น้อยเช่นกัน
จากตัวอย่างดังกล่าว ณ.ปัจจุบันจึงเกิดคำถามขึ้นว่า เมื่อกรณีเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมที่ทำให้พื้นที่ทำการเกษตรได้รับความเสียหายแล้ว ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในการประสานงานในการสำรวจพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ ร่วมกับชุมชน แกนนำกลุ่มอาชีพทางการเกษตร และคณะกรรมการศูนย์บริการและถ่ายทิดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล และอปท. คงจะหนีไม่พ้นนักวิชาการส่งเสิรมการเกษตรที่ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการฯนั่นเอง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามบทบาทภารกิจตามระเบียบวิธีการปฏิบัติของทางราชการในการดำเนินการสำรวจพื้นที่ประสบภัยเพื่อที่จะขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยดังกล่าวตามลำดับแล้ว
จึงเกิดโจทย์ที่สำคัญขึ้นมาอีกว่า หลังจากน้ำได้ลดลงแล้ว การแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ที่จะต้องแนะนำเกษตรกร ว่าจะทำกิจกรรมอะไรในระยะสั้น ระยะปานกลาง ที่จะเสริมรายได้ให้แก่ครอบครัวเกษตรกร จะมีหน่วยงาน องค์กรใดบ้างที่เข้ามาช่วยดำเนินการในเรื่องนี้หรือเราจะปล่อยไปตามยะถากรรมก็คงไม่ใช่
นี่ก็คงจะเป็นอีกบทบาทหนึ่งของนักส่งเสริมการเกษตรที่ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ที่จะต้องทำหน้าที่ผู้ประสานงานในระดับพื้นที่ และเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกร ซึ่งจะต้องทำบทบาท-หน้าที่นี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกือบจะทุกปีก็ว่าได้ จึงพอจะสรุปได้ได้ว่า การประกอบอาชีพของเกษตรกรจึงมีแต่ความเสี่ยงของระบบการผลิทางการเกษตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า น้ำท่วม ฝนแล้ง แมลงกิน ดินไม่ดี มีโรคมา และราคาตก