เคย มีคำกล่าวว่า คนเราจะลืมเรื่องที่เราเรียนรู้ไปมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจก็คือ แล้วเราจะเสียเวลาร่ำเรียนไปทำไมกัน
เมื่อเราบวกรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ทุ่มลงไปในการแสวงหาความรู้ ค่าใช้จ่ายในการเตรียมการเดินทางเข้าห้องสอบ ค่าหนังสือ และเวลาน่าเบื่ออันยาวนานหลายร้อยหลายพันชั่วโมงที่ต้องทนถ่างตาอ่านตำรา คำถามก็คงผุดขึ้นมาในใจอีกแล้วว่า คุ้มค่าแล้วหรือที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจและทุนทรัพย์ในการศึกษาหาความรู้
ตอบได้ง่ายๆ ครับ คุ้มเกินคุ้ม มีเหตุผลชั้นเลิศหลายข้อมาสนับสนุน แม้ว่าท้ายที่สุดเราจะลืมเลือนเนื้อหาความรู้ที่ร่ำเรียนไปแล้ว
ข้อแรกสุด และเป็นข้อสำคัญที่สุดด้วยก็คือในกระบวนการการแสวงหาความรู้ จะเป็นการฝึกวินัยกำกับตนและเสริมความแกร่งในการควบคุมตนเอง หากต้องการเรียนให้สำเร็จ นักเรียนจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักวิชา ต้องใส่ใจทำการบ้านและการฝีมือให้แล้วเสร็จ และยังต้องปรับกรอบความคิดให้มีระบบเพื่อเจาะเข้าหาแก่นความรู้
ข้อที่สอง แม้นักเรียนจะลืมเลือนเนื้อหา ข้อเท็จจริงหรือสูตรต่างๆ แต่ก็ยังทราบว่าจะไปค้นหาความรู้นั้นได้จากแหล่งใด
ข้อที่สาม บทเรียนเก่าทำให้การเรียนครั้งใหม่ง่ายยิ่งขึ้น การบริหารสมองช่วยให้เราสามารถโยงไปถึงแนวคิดและข้อคิดใหม่ในอนาคตได้ คนที่ผ่านระบบการศึกษามาแล้ว วิธีคิดจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ข้อที่สี่ แท้จริงแล้ว เรายังไม่ลืมเนื้อหาที่เราเคยศึกษาผ่านตามาแล้ว ข้อมูลทั้งหลายได้รับการบันทึกเก็บไว้ในสมอง และจะผุดขึ้นมาสู่จิตสำนักหากมีการกระตุ้นที่พอเหมาะ และ
ข้อที่ห้า นักเรียนจะได้รับอิทธิพลหล่อหลอมจากความเฉลียวฉลาดและพลังในการสอนของครูบาอาจารย์
ผมได้แต่หวังว่าน่าจะมีหนทางลัด ซึ่งเป็นหนทางง่ายๆ ที่จะหล่อหลอมและขัดเกลาจิตใจมนุษย์ได้อย่างมประสิทธิภาพมากกว่าระบบการเรียนการสอนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นในระหว่างที่มนุษยชาติรอคอย "เม็ดยาการศึกษา" ที่พอกินเข้าไปแล้วก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้โดยเร็วนั้น ก็คงต้องใช้ระบบการศึกษาดั้งเดิมที่สุดแสนจะทุกข์ยากทรมานกันไปก่อน
บทความดีๆ จาก Dr:James Dobson แปลโดย นพดล เวชสวัสดิ์