ยุคแรกๆ โรงเจเป็นแค่อาคารไม้หลังไม่ใหญ่โตพื้นที่ยังเป็นป่าละเมาะ ถนนหนทางยังไม่เจริญการคมนาคมการขนส่งสินค้าทางเกษตรยังนิยมทางเรือ ต่อมาประมาณปี พ.ศ.2442-2445 อาคารศาลเจ้าไม้หลังเดิมคับแคบและชำรุดทรุดโทรม คณะกรรมการจึงได้เปิดรับบริจาคทรัพย์ จากพ่อค้าลูกหลานเชื้อสายจีนและผู้มีจิตศรัทธาชาวไทย รวบรวมทุนทรัพย์มาจัดสร้างโรงเจขึ้นใหม่ ในสมัยนั้นผู้บริจาคสูงสุดแค่ 40 บาท และผู้ที่ร่วมบริจาคเงินตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป ทางคณะกรรมการได้จารึกชื่อไว้ที่ผนังในโรงเจ (ยังมีอยู่) ตามหลักฐานที่พบตามแผ่นป้ายประจำศาล ระบุปี ค.ศ.1899 ป้ายคำกลอน “ตุ่ยเลี๊ยง” ค.ศ.1900-1904 แสดงให้เห็นว่าการก่อสร้างโรงเจเหงี่ยนเต่าตั๊วแทนหลังเดิมแล้วเสร็จ ปี พ.ศ.2445
ป้ายที่ปรากฏอยู่ในโรงเจฯ ป้ายศาลเจ้า เป็นป้ายไม้แกะสลักทำมาจากประเทศจีนในสมัยนั้น ระบุปี ค.ศ.1899 และป้ายคำกลอน “ตุ่ยเลี๊ยง” ระบุปี 1900 และ 1904
ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ การสร้างโรงเจเสร็จแล้ว ต่อมา ปี พ.ศ.2447 คณะกรรมการได้จัดสร้างพระหรือหล่อองค์เทพขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ตามพุทธลักษณะงดงามยิ่ง โดยช่างจากประเทศจีนทำตามกรรมวิธีโบราณ ตามหลักศาสนาพุทธ มีพิธีพุทธาภิเษกเทวาภิเษกยิ่งใหญ่มโหฬาร 9 วัน 9 คืน ทั้งพิธีจีนและพิธีไทยประวัติความเป็นมา เกี่ยวกับองค์เทพ “ปุ๋นเท่ากง” มีคำกล่าวเล่าลือกันมา สมัยก่อนปุ๋นเท่ากงไม่ได้อยู่ที่โรงเจ แต่อยู่ที่เก๋งจีนหรือศาลจีนบนองค์พระปฐมเจดีย์ด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามวังปฐมนคร ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย ใครบนบานศาลกล่าวอะไรก็ได้สมดังใจปรารถนา มีผู้คนขึ้นไปกราบไหว้อธิษฐานขอพรขอสิ่งที่ต้องการตลอดเวลา แทบจะทั้งวันทั้งคืน ขนาดเสียงเกี๊ยะที่เดินหนวกหูคนในตลาดและชาวบ้านที่อยู่รอบองค์พระ (สมัยนั้นผู้คนยังนิยมเกี๊ยะไม้ที่ส่งมาขายจากเมืองจีน ยังไม่มีรองเท้าฟองน้ำ รองเท้าแตะ “ช้าง-ดาว” เหมือนทุกวันนี้) เวลาเดินกับพื้นดินก็ไม่เท่าไหร่ แต่เดินบนองค์พระปฐมเจดีย์ บนลานพื้นหินคิดดูก็แล้วกัน คนละกุ๊บ คนละก๊าบ ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก แทบไม่ต้องหลับนอน
ผู้ดูแลบ้านเมืองสมัยนั้นไม่ทราบว่าเป็นเทศบาลหรือยัง เรียกว่าคณะกรรมการของบ้านเมืองแล้วกัน ได้รับการร้องเรียนก็ไม่รู้จะย้ายไปไว้ที่ไหน พอดีกับการที่มีการสร้างโรงเจและมีพื้นที่พอ คณะกรรมการจึงได้สร้างศาลขึ้นอีกหลังติดกับศาลตั่วเล่าเอี้ย พร้อมอัญเชิญองค์ปุ๋นเท่ากง “คนไทยหมายถึงเจ้าที่ ตา-ยาย” มาประดิษฐานจนถึงปัจจุบัน
ภายในโรงเจยังมีสิ่งที่เป็นมงคลอีกหลายอย่าง ส่วนใหญ่คนรุ่นหลัง หรือแม้กระทั้งคนที่ช่วยอยู่ในโรงเจรุ่นใหม่ไม่ได้สังเกต เช่น กระถางธูปทองเหลือง สลักอักษร จปร. มีคำบรรยายเป็นภาษาจีน ระบุปี ร.ศ.120 (ปี พ.ศ.2444) และเขียนคำว่า รัชกาลที่ 6 พระราชทาน ไว้ข้างกระถางธูป ป้ายไม้แกะสลักรายนามผู้บริจาคทรัพย์ร่วมสร้างโรงเจ อายุกว่าร้อยปี เหลืออยู่แผ่นเดียว กรรมการเอาไปฝังติดกับผนังปูน เดินเข้าศาลหลังใหญ่ “ตั่วเล่าเอี้ย” จะอยู่ทางซ้ายมือ โต๊ะขนาดใหญ่โต๊ะบูชายังมีชื่อมีระบุปี ค.ศ.1903 เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ควรอนุรักษ์รักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
โรงเจเหงี่ยนเต่าตั๊ว ปุ๋นเท่ากง นครปฐม ปัจจุบันมี นายอนุศักดิ์ วัฒนสกลพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการ และคณะกรรมการได้ตระหนักดีกับการที่ประชาชนเดินทางมาถือศิลกินเจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ได้จัดสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สร้างหลังคาคลุมเต็มพื้นที่ ตรงไหนต้องเจาะช่องก็เจาะเพื่อความเหมาะสม เช่นเสาทีตี่เต็ง (เทศกาลกินเจตรงกับฤดูฝนของทุกปี) โรงทานก็ยังคงมีอยู่ผู้ที่เดินทางไม่มีที่พักไม่มีที่กิน แวะมาได้ที่โรงเจเหงี่ยนเต่าตั๊ว ปุ๋นเท่ากง นครปฐม มีอาหารเจให้กิน “ฟรี” ตลอดงานเทศกาล สำหรับปีนี้ ตรงกับวันที่ 10 ถึง 20 ตุลาคม พ.ศ.2550 ก็อย่าลืมก็แล้วกัน กินเจทำให้สุขภาพตัวเองดีขึ้นแล้ว กินเจยังเท่ากับได้สร้างบุญสร้างกุศลโดยไม่รู้ตัว “กินเจหนึ่งมือ เท่ากับชีวิตอีกนับหมื่นชีวิตปลอดภัย”ขอบคุณท่านผู้ใช้นาม กลุ่ม สว. (ผู้สูงวัย) นะคะข้อมูลมีประโยชน์มาก ๆ ค่ะ หากต้องการสอบถามประวัติความเป็นมาอื่น ๆ ของบ้านเรา (นฐ)จะขออนุญาตสัมภาษณ์ สะดวกมั้ยคะขอบพระคุณค่ะ