บนความแตกต่างของสถานศึกษาแต่ละแห่งนั้น มีองค์ประกอบสามารถวิเคราะห์องค์การ(Organizational Analysis)ได้ในเชิงทฤษฎี ดังนี้ ฮาโรลด์ เลวิส (Harold Leavitt,1973 :4) พิจารณาองค์การ ที่มีลักษณะการทำงานในลักษณะมีความสลับซับซ้อน (Complex Organization) ใน ๔ องค์ประกอบ กล่าวคือ
๑) โครงสร้าง (Structure) พิจารณาถึงการบริหารงาน การควบคุมงาน กลุ่มการทำงานฯลฯ
๒) งาน (Task) พิจารณาถึงการวางแผนออกแบบ (Design) ความต้องการ การบริการเพื่อไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ
๓) เครื่องมือ เครื่องใช้ (Tools) พิจารณาถึงความทันสมัยต่างๆ ที่จะทำให้งานสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมการ การควบคุมการทำงานในองค์การ
๔) บุคลากร (People) พิจารณาถึงความแตกต่างและความหลากหลายของคนที่ทำงานจะเห็นว่า เจ้าหน้าที่บางคนสามารถสอนให้เรียนรู้ได้ง่าย บางคนเรียนรู้ได้ยาก
นอกจากนี้ ธงชัย สันติวงค์(๒๕๒๓:๒๖-๓๑) วิเคราะห์องค์การ ศึกษาปัจจัยที่แปรผันในองค์การ ประกอบด้วย
๑) โครงสร้าง(Structure) ขององค์การ เป็นความสัมพันธ์ของการบริหารระดับต่างๆ และหน้าที่ด้านต่างๆ ได้มีการจัดไว้อย่างดีเพื่อที่จะเอื้ออำนวยให้การทำงานเป็นไปโดยสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถประสานงานกันตามหน้าที่ โดยอาศัยโครงสร้างเป็นเครื่องมือกำกับ
๒) งาน(Task) ที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงภายในกำหนดซึ่งโดยทั่วไปงานจะสัมพันธ์กับตำแหน่งตามโครงสร้างองค์การที่กำหนด ซึ่งลักษณะของงาน โดยทั่วไปจะพิจารณาแยกแยะระหว่างคน สิ่งของ และข้อมูล
๓) เทคนิควิทยาการ (Technology) เทคโนโลยีเป็นสื่อหรือเครื่องมือที่สามารถทำให้วัตถุดิบ คน ข้อมูล หรือวัตถุ สิ่งของให้เป็นสินค้าและบริการได้และเทคโนโลยีจะสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับงาน
๔) คน(People) เป็นปัจจัยที่สำคัญและเป็นศูนย์กลางของการบริหารงานทั้งปวง ทั้งนี้เพราะการบริหารใดๆ จะสามารถทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ย่อมต้องใช้คนเป็นผู้ทำการเข้าใจลักษณะความรู้สึกและความต้องการของคน นับว่าจำเป็น ได้แก่ ความรู้ ความสามารถ ความถนัด ความต้องการ ความคาดหมาย ความเข้าใจ ทัศนคติ ค่านิยมและการติดตามผล (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา,2550: 37-41)
จากการวิเคราะห์องค์การของนักวิชาการเหล่านี้ จะเห็นว่าการพิจารณาองค์การไม่ว่าจะเป็นองค์การที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์จากการดำเนินการ หรือองค์การที่ไม่มีผลประโยชน์จากการดำเนินการ แต่มีไว้เพื่อบริการประชาชน เช่น หน่วยงานทางการศึกษา ต่างก็จะพิจารณาถึง งานที่ต้องทำ, คนที่เข้ามาทำงาน,การจัดโครงสร้างการบริหารงาน,การอำนวยความสะดวกและการสนับสนุนให้คนที่ทำงานสามารถทำงานอย่างราบรื่น สถานศึกษาในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนมัธยมศึกษาที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.๑-ม.๖) มีความแตกต่างกันในการบริหารจัดการศึกษา ด้วยแบ่งตามขนาดของโรงเรียน เล็ก-กลาง-ใหญ่ มีโครงสร้างการทำงานที่เหมือนกัน แต่ปัจจัยอื่นแตกต่างกัน ดังนั้น คุณภาพก็จะไม่เหมือนกัน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการศึกษา จึงมีแนวคิด วิธีการต่างๆที่จะสร้างความเท่าเทียม หรือเทียบเคียง หรือ..... เพื่อให้ทุกโรงเรียนสามารถสร้างคุณภาพได้ จึงเป็นงานที่ท้าทาย เหนื่อยสุดๆ เพราะคนทำงานหากขาดปัจจัยพื้นฐานที่ห้ามพูดสำหรับนักพัฒนา ที่ว่า ขาดคน ขาดเงิน ขาดวัสดุ อุปกรณ์ สื่อ การขับเคลื่อนก็เป็นไปอย่างช้าๆ หากจะให้ใช้วิธีการบริหารจัดการบนความขาดแคลนคน-เงิน-วัสดุฯ...การก้าวกระโดดไปยังที่หมาย จะเลือนราง..ขวัญที่ตั้งใจจะให้อยู่กับตัว ก็จะกระเจิง เสมือนคนหากไม่ทานข้าว ไม่ดื่มน้ำ ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ชีวิตจะเป็นเช่นไร ปัจจัยเกื้อหนุนทั้งหลายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนา “โรงเรียนคู่พัฒนา” หน่วยงานที่รับผิดชอบ ควรจะหันกลับมามองอย่างลึก เพื่อให้รู้ว่า อะไรคือปัจจัยสำคัญของการพัฒนา พัฒนาแล้วสามารถแก้ปัญหาให้ได้จริงหรือไม่ มีวิธีการใดบ้างที่เป็นการเคลื่อนที่เร็ว และเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจ แค่คิดจะทำก็น่ารักแล้วครับ.
สวัสดียามเช้าค่ะอาจารย์...จอหงวน
ขอบคุณค่ะ
ทุกอย่างอยู่ที่ผู้บริหาร มีความตั้งใจ ทำอะไร ถ้าต้องการก็ต้องพยายาม ทำดี ดีสงให้เห็นผล ทำชั่ว ชั่วก็ดลชั่วให้ ได้ชั่ว