บ้านทรายทอง
อัยการชาวเกาะนี่คือสถาน แห่งบ้านทรายทอง ที่เขาปองมาสู่…ผมได้ยินเพลงนี้มานานแล้ว ดูภาพยนตร์เรื่องบ้านทรายทองมาไม่ต่ำกว่าสองครั้ง ดูละครเรื่องบ้านทรายทองทางโทรทัศน์รวมครั้งนี้ด้วยก็คงเป็นครั้งที่สอง ดูแล้วก็คันไม้คันมือ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายก็อยากให้คนอื่นเขารู้กฎหมายมรดกบ้าง ว่าจริงๆแล้วบ้านทรายทองควรจะเป็นของใคร สนใจไหมล่ะ
ผมลงทุนไปซื้อหนังสือเรื่องย่อบ้านทรายทองในโทรทัศน์มาอ่านดู ก็ได้ความว่า คุณพนาได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า….
"บ้านทรายทอง เดิมเป็นของเจ้าพระยาราชพิพิธ ต้นตระกูลพินิตนันท์ของเรา ท่านมีลูกชายสามคน คนแรกได้เป็นพระยาราชาพิพิธแทนคุณทวด คนรองก็คือคุณปู่สุรพลของลูก คุณปู่ทวดของลูกสิ้นบุญไปก่อนคุณย่าทวด แต่ถึงกระนั้นคุณย่าทวดก็ไม่ลืมที่จะสั่งเสียไว้ก่อนที่ท่านจะสิ้นว่ายังไงบ้านทรายทองก็จะต้องตกเป็นของคุณปู่สุรพล ตั้งแต่พ่อจำความได้คุณปู่บ่นให้พ่อฟังเสมอว่า พินิตนันท์ถูกใส่ร้ายและตัดสิทธิ์จากกองมรดก ด้วยเหตุผลเพราะนำความอัปยศมาสู่ต้นตระกูล คุณปู่ของลูกไม่ได้รับความยุติธรรม และความไม่ยุติธรรมนั้นก็ตกทอดมาถึงรุ่นพ่อ พจมานลูกรักตลอดชีวิตของพ่อ พ่อเสียดายอย่างเดียวที่ลูกมำได้เกิดมาเป็นชาย แต่พ่อก็เชื่อมั่นในจิตใจที่หนักแน่นของลูกที่จะกลับไปพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า คุณปู่สุรพลของลูกเป็นผู้บริสุทธิ์และสมควรที่จะเป็นผู้ดูแลและครอบครองบ้านทรายทองของบรรพบุรุษโดยแท้…"
อ่านแล้วผมก็ยังงงว่ามีลูกชายสามคน พูดถึงคนแรก คนที่สอง แล้วลืมคนที่สาม งงจริงๆ เอาง่ายๆแบบนี้ดีกว่า เราถือว่ามีลูกชายสองคน แต่เกิดเรื่องชิงรักหักสวาทกัน ก็คือพี่ชายคนโตซึ่งเป็น “พระยาราชาพิพิธ” กับ “สุรพล” ซึ่งเป็นน้องของพระยาราชาพิพิธ คุณสุรพลรักใคร่ชอบพอนางเอกละครที่ชื่อ “หุ่น” ซึ่งชอบแสดงเป็น “บุษบา” หน่า นา หน่า น้า…แต่พระยาราชาพิพิธ แย่งคนรักของน้องไป คุณสุรพลจึงหนีไปต่างจังหวัดแล้วไปแต่งงานกับย่าของพจมาน มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือคุณพระดุลย์ธรรมพินิต หรือคุณพนา พ่อของพจมาน คุณพนาก็แต่งงานกับแม่ของพจมาน มีลูกด้วยกันสามคน คือ พจมาน,พจนา,พจนีย์ พระยาราชพิพิธ ก็ไปแต่งกับคุณแข แม่ของพรรณราย กับแพรวพรรณ ฝ่ายหม่อมพรรณราย ก็ไปแต่งงานกับเชื้อเจ้าสกุล สว่างวงศ์ มีลูกด้วยกันสี่คนคือ ม.ร.ว.หญิงภาระดีสว่างวัฒน์ หรือหญิงใหญ่ ,ม.ร.ว.ภราดาพัฒน์ระพี หรือชายกลาง,ม.ร.ว.หญิง ภาวิณีจรัสเรือง หรือหญิงเล็ก กับ ม.ร.ว.นุทัตสวัสดี หรือชายน้อย เฮ้อ…เหนื่อย เพื่อความเข้าใจง่ายๆเรามาดูแผนภูมิประกอบด้านหลังนะครับ
ท่านผู้อ่านก็คงจะทราบดีนะครับว่า พจมาน พินิตนันท์ มาที่บ้านทรายทอง เพราะคุณพนา ถึงแก่ความตาย และต้องการเรียนให้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามที่คุณพนามุ่งหวัง แต่เงินไม่มีจึงต้องมาพึ่งใบบุญหม่อมพรรณราย ที่บ้านทรายทองให้ช่วยออกค่าเทอม ค่าอาหารการกิน จนกระทั่งเรียนจบ โดยที่พจมานเองรู้ว่าบ้านทรายทองเป็นของตระกูลพินิตนันท์ แต่ไม่อยากแสดงความเป็นเจ้าของจนกว่าจะเหลืออดจริงๆ จึงจะแพลมๆบ้างบางครั้งบางคราว แต่หม่อมพรรณรายรู้อยู่เต็มอกว่าบ้านทรายทองควรจะเป็นของใคร จึงต้องหาทางกีดกันพจมานสุดฤทธิ์สุดเดช โดยที่ลูกๆไม่รู้ความจริงคืออะไร เว้นแต่ชายกลางกับหญิงใหญ่ซึ่งมารู้ในภายหลัง
แต่ในที่สุด ความจริงก็เปิดเผยว่าพระยาราชาพิพิธเอาบ้านทรายทองมาเป็นของตัว ไม่ยอมยกให้คุณปู่สุรพลของพจมาน ทั้งๆที่ก่อนตายคุณแม่ของพระยาราชาพิพิธ ได้บอกว่า “ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดให้พระยาราชาพิพิธ เว้นแต่บ้านทรายทอง ให้สุรพล” แต่พระยาราชาพิพิธเป็นคนหยาบอยากได้อะไรต้องได้ อยากได้แฟนของน้องซึ่งก็คือนางหุ่น ก็แย่งเอา แล้วก็ใส่ร้ายป้ายสีว่าสุรพลเป็นคนไม่ดี ต้องถูกตัดจากกองมรดก แล้วก็เข้าครอบครองบ้านทรายทอง ที่ว่าพระยาราชาพิพิธเป็นคนหยาบแย่งแฟนน้อง นี่ผมไม่ได้ว่าเองนะ นมทิพย์เล่าให้ฟัง ฮ่า ฮ่า…..แกยังเล่าว่า พระยาราชาพิพิธ กินเนื้อย่างตัดเนื้อจากสะโพกวัวสดๆเลยนะ วัวร้องก็ไม่สนใจ จนต่อมาพอใกล้จะตายก็ร้องแบบวัวถูกเชือด นั่นแหละกงกรรมกงเกวียนล่ะ
เอาละ ทีนี้พอพระยาราชาพิพิธใกล้จะตาย ความจริงก็เปิดเผยมาทีละน้อย จนหญิงใหญ่เริ่มรู้ว่าบ้านทรายทองต้องเป็นของพจมาน และตาของตัวเองโกงของน้องมา หญิงใหญ่ก็เริ่มเข้าใจในตัวพจมาน และเข้าใจว่ามารดาของตัวเองปกปิดความจริงมาโดยตลอด เมื่อถูกบังคับให้พูดหญิงใหญ่ก็เลยใส่ทั้งน้อง ทั้งแม่ จนคนทั่วประเทศรู้กันทั่วว่าพระยาราชาพิพิธโกงปู่สุรพลของพจมาน จนทำให้บ้านทรายทองมีอาถรรพ์หาความสงบสุขไม่ได้ เพราะแพรวพรรณกับพรรณรายก็ไม่ใช่จะญาติดีกันเท่าไรต่างคอยจ้องจะเอาส่วนแบ่งกันอยู่ มาถึงหญิงใหญ่กับหญิงเล็กอีก เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา หญิงใหญ่เองเมื่อถูกขัดใจก็จะมีอาการร้องกรี๊ด.กรี๊ด แบบจิ้งหรีด อาการนี้ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่าฮิสทีเรีย (โรคนี้ไม่ใช่โรคบ้าผู้ชายอย่างที่เข้าใจกัน) ส่วนหญิงเล็กนั้นค่อนข้างเว่อร์ ชอบแต่งตัวกรีดกราย ทำตัวเหมือนหม่อมพรรณรายผู้เป็นแม่ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดีเพียงภายนอก แต่จิตใจภายในเป็นไพร่ ชายน้อยก็เป็นคนพิการปากเบี้ยว แต่จิตใจดี มีก็แต่ชายกลางเท่านั้นที่รูปหล่อด้วย ใจดีด้วย พูดก็พูดเหอะ หากไม่มีชายกลางใช้ความมีคุณธรรมเป็นตัวตัดสิน ผมยืนยันได้เลยว่า บ้านทรายทองไม่ได้ตกเป็นของ “พินิจนันท์”แน่ ทำไมหรือครับ
เรามาดูข้อกฎหมายเรื่องมรดกกันดีกว่า เรื่องบ้านทรายทองนี้ไม่มีการทำพินัยกรรมก็ต้องมาว่ากันในเรื่องการแบ่งมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม อ้อ เพื่อความเข้าใจอันดี พินัยกรรมมีอยู่ ๕ แบบ นะครับ
๑.พินัยกรรมแบบเขียนเองด้วยลายมือตัวเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมเองแล้วลงลายมือชื่อของเจ้ามรดกไว้
๒.แบบให้คนอื่นเขียนหรือทำให้ แต่เจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานสองคนพร้อมกัน และพยานสองคนนั้นต้องลงชื่อรับรองลายมือชื่อของเจ้ามรดกในพินัยกรรมด้วย
๓.แบบเอกสารฝ่ายเมือง พูดกันง่ายๆคือให้อำเภอทำให้
๔.แบบเอกสารลับ แบบนี้ก็ยุ่งยากหน่อย คือเมื่อทำเป็นรูปพินัยกรรมแบบใดแบหนึ่งข้างต้นแล้ว ก็ใส่ซองปิดซองแล้วเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมต้องเซ็นชื่อคาบซอง แล้วต้องเอาไปอำเภอและมีพยานสองคน ให้ถ้อยคำ และถ้าพินัยกรรมนั้นคนอื่นทำให้ต้องบอกด้วยว่าคนทำเป็นใครอยู่ที่ไหน อำเภอเขาจะบันทึกการให้ถ้อยคำไว้บนซอง แล้วให้พยานลงชื่อ,นายอำเภอลงชื่อ แล้วประทับตรา เห็นแมะ…บอกแล้วว่ามันยุ่ง แหะๆ…อาจมีคนสงสัยว่าถ้าเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมแกเป็นใบ้ล่ะ จะทำยังไง ก็ไม่เห็นยุ่งยากหากแกเขียนหนังสือได้ก็ให้เขียนเองไว้บนซอง พูดไม่ได้แต่เขียนได้ มีอะไรหรือเปล่า…เฮอะๆ
๕.แบบสุดท้าย ทำด้วยวาจา เอ๊ะ..ๆ..ไหนอัยการว่าเรื่องบ้านทรายทองไม่มีการทำพินัยกรรม ถ้างั้นการที่เจ้ามรดกกำลังพะงาบๆอยู่ บอกว่าบ้านทรายทองให้สุรพล ทรัพย์สินอื่นให้พระยาราชาพิพิธ ไม่ใช้พินัยกรรมด้วยวาจาหรอกหรือ เดี๋ยวครับ ใจเย็นๆ การทำพินัยกรรมด้วยวาจานั้นจะต้องได้ความว่า ต้องมีพฤติการณ์พิเศษซึ่งบุคคลใดไม่สามารถจะทำพินัยกรรมตามแบบที่ว่าข้างต้นได้ เช่นตกอยู่ในอันตรายใกล้ตาย หรือเวลามีโรคละบาท เอ๊ย โรคระบาด หรือสงคราม แต่ในเรื่องบ้านทรายทองไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นนี่ครับ แบบสุดท้ายนี่นะครับ เจ้ามรดกต้องแสดงเจตนากำหนดข้อพินัยกรรมต่อหน้าพยานสองคนซึ่งอยู่พร้อมกัน และพยานสองคนนั้นจะต้องไปแสดงตัวต่อนายอำเภอโดยด่วน และแจ้งให้นายอำเภอทราบด้วยว่าเจ้ามรดกเขาสั่งเสียว่าอย่างไร และต้องแจ้งด้วยว่าเจ้ามรดกเขาสั่งความเมื่อวัน เดือน ปี ใดที่ไหนและพฤติการณ์พิเศษนั้นเป็นอย่างไรด้วย คงหมดสงสัยเสียทีนะครับว่าเรื่องบ้านทรายทองไม่มีการทำพินัยกรรม
อ่านไปอ่านมารู้สึกว่าจะยาวเกินไป เราไปต่อกันที่เรื่อง พจมาน สว่างวงศ์ ดีกว่า อ้าว…ไม่ใช่ครับบ้านทรายทองยังไม่จบ จะไปขึ้นเรื่องพจมาน สว่างวงศ์ ไม่ได้ เราไปเจอกันบ้านทรายทองตอนสองแล้วกันครับ
เซ็ง อุตส่าอ่านไม่เห็นมีใจความสำคัญ
สวัสดีค่ะ