ฮา...แต่น่าคิด!!!


เก็บไว้ท้ายบันทึก

            ในฐานะผู้ชายดีๆ ที่หายากคนหนึ่ง ผมรู้สึกเห็นใจสตรีเพศจริงๆครับช่วงเวลาในการเลือกคู่ของเธอทั้งหลายช่างสั้นยิ่งนัก เพราะช่วงอายุขัยของวัยสาวเริ่มผลิบานเมื่อประมาณ 13 ปี แล้วมาสุดเขตแดนเมื่อวัยสามสิบ

            วันเกิดครบรอบ 30 จึงเป็นตัวเลข! แห่งความสะเทือนขวัญ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกหลายคนไม่อยากพูดถึง คนอื่นก็ไม่ควรเอ่ยปากด้วยถือเป็นมารยาทสังคมอย่างหนึ่ง ยกเว้นพวกมีวาจาเป็นอาวุธที่ชอบถามว่า  'ปาอะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวที่สุด '  เฉลย '! ปาเข้าไปสามสิบยังไม่มีผัว ' … ใครดันถาม มันผู้นั้นสมควรตาย

            ตอนเรียนหนังสือเป็นนักเรียนนักศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็สอนนักสอนหนาว่า ' อย่าริรักในวัยเรียน ' 'ตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี จบแล้วค่อยมีแฟน ' ทั้งๆ ที่ไอ้ตอนเรียนหนังสือมีโอกาสพบปะเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตา ก็หาได้สนใจไม่ เป็นคนประเภท ' รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน ' ทุ่มเทชีวิตให้แก่การศึกษาเมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน

            หลังจบการศึกษา ประกอบสัมมาอาชีวะ ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง เลือกสรร ควานหา ผู้จะมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต ตั้งสเปกว่าต้องได้แฟนหนุ่มประเภทซูเปอร์เพอร์เฟคอย่างวิลลี่ แมคอินทอชหรือจอห์นนี่ แอนโฟเน่ หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องมาดแมนแฮนซั่ม หล่อล่ำดำขรึม ถึงจะได้มาตรฐานไอ้ประเภทหุ่นอัฟริกา หน้าติมอร์ อย่าได้สะเออะหน้ามาให้เห็นไม่มีทางได้แอ้มหรอก

           จากวันเป็นเดือน – จากเดือนเป็นปี ความรักไม่มีวี่แววคืบหน้าแม้วันเวลา ผ่านไปเพราะที่ทำงานทั้งห้องมีผู้ชายอยู่แค่ 5 คน  เจ้านายก็! มีเมียแล้วไม่อยากตกเป็นภรรยาบุญธรรม สองคนดันเป็นเกย์อีกคนยังลังเลอยู่ว่าจะเป็นดีหรือเปล่าคนสุดท้ายเป็นชายแท้ แต่กำลังถูกแย่งตัวระหว่างเกย์สองคนอยู่ ไม่อยากเข้าไปเป็นมือที่สามนั่งรถมาทำงาน ก็สองชั่วโมงครึ่ง กลับอีกสองชั่วโมงสี่สิบนาที กลับถึงบ้าน หมดสิ้นกำลัง ขอนอนเอาแรงก่อน.....

            ขณะที่งีบหลับอย่างสนิท ภาพในความฝันที่เธอเห็นคือ สถาบันการศึกษาที่เธอจบมาแหล่งที่มีเพศตรงข้ามชุกชุม เธอหวนรำลึกนึกถึงผู้ชายดีๆ ที่เขาเคยอุตส่าห์มาเฝ้าตามจีบ ตามง้อตามตื้อ แล้วเราเล่นตัวจนเคยตัว ในที่สุดผลประโยชน์ตกอยู่ที่เพื่อนสนิทเป็นที่เรียบร้อยแหม ! ไม่น่าเลย ยิ่งคิดยิ่งเสียดายจริงจริ๊งตื่นพอดี เจอโลกแห่งความจริงดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน ยิ่งเข้าหน้าหนาว ซองสีชมพูกลิ่นหอมๆ จากเพื่อนๆ เริ่มทยอยมา ตามหลังซอง กฐินซองผ้าป่าที่เพิ่งหมดฤดูกาลพอไปในงาน ดันเจอคำถามสะกิดใจอีกว่า 'เมื่่อไรจะถึงคิวแจกการ์ดของตัวบ้างล่ะ'...'โถ! การ์ดแต่งงานน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว เหลือแต่ชื่อเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใคร เพราะครั้งนี้เขาเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ยังงงๆ เรื่องปาร์ตี้ลิสต์อยู่เลย' เอ๊ะเกี่ยวอะไรกัน!ในใจก็คิดว่า ' ก็ฉันอยู่เป็นโสดนี่มันไม่ดียังไง หนักกระบาลใครรึเปล่า'

            เคยตั้งคำถามกันไหมว่าทำไมต้องแต่งงาน (กันด้วย!)คำตอบจากเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วหรืออยากจะแต่งงานอาจมีหลากหลาย

            'อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ อยากมีใครสักคนไว้แก้เหงา ' …รายนี้เห็นผู้ชาย เป็นตัวคลายเหงา

'รายได้ไม่พอใช้ หาคนช่วย (หาเงิน) ' … ผมกลัวมาช่วยผลาญเงินมากกว่า

'อยากมีลูก ก็ต้องหาพ่อก่อนสิ '…เกิดได้ลูกแล้วจะทิ้งพ่อรึเปล่าเนี่ยะ

'โรงงานพร้อมแล้ว ขาดผู้ประกอบการ'..เจ้าของคำตอบกำลังหาผู้ร่วมลงทุนฯลฯ

เป็นอันว่า ' ชีวิตคู่ ' อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ? ชีวิตคู่ คือ การเติมเต็มซึ่งกันและกัน  ดังนั้น เมื่อมีชีวิตสมรสแล้ว ครึ่งหนึ่งของ ชีวิตเราจะหายไป ในส่วนที่ขาดจะมีครึ่งชีวิตของอีกฝ่ายมาเติมแต่งแห่งพื้นที่ว่างนั้น ขณะที่ครึ่งชีวิตของเราที่หาย ก็มิได้สูญสลายไปไหน มันก็ไปเติมที่ว่างของคู่เรานั่นเองจุดมุ่งหมายของ!

การแต่งงานคือ การใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อเป็นสามีภรรยาแล้วต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่คนเดียว ถ้าตอนอยู่ด้วยกันแล้ว มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ก็ไม่รู้ว่า จะแต่งงานไปหาพระแสงดาบคาบค่ายที่ไหนอยู่คนเดียวมันส์กว่าชีวิตคู่ต้องเกื้อกูลกันและกัน ความก้าวหน้าของสามีภรรยาต้องมีส่วน อย่างน้อยก็ปลอบใจในยามที่สามีเครียดจากการงาน ชีวิตภรรยาถ้าไม่คิดเอาดีในทางโลก ก็เจริญในทางธรรม กำลังใจต้องได้จากสามีเช่นกัน อย่างน้อยก็อย่าหาทุกข์มาสุมเพิ่ม

ถ้าคู่รักของเราประกอบมิจฉาอาชีวะ ติดเหล้า เล่นการพนัน โกงบ้านกินเมือง ชีวิตอีกฝ่ายก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นเพราะฉะนั้นเวลาเลือกแฟน แทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้าตา ฐานะการเงิน ยี่ห้อรถเก๋งที่ใช้อยู่ ฯลฯ เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขแค่สองข้อที่จำแสนง่าย คือ

       หนึ่ง – สุขใจยามอยู่ใกล้ชิด

       สอง – คู่ช่วยคิดชีวิตก้าวหน้า

       เพราะชีวิตคู่คือการเติมเต็มชีวิตแก่กันและกัน หาใช่เป้าหมายเพื่อการเสริม เพิ่มความเสียว เพราะอยู่คนเดียวก็เสียวได้ ไม่ง้อใครให้เสียเวลา ไม่เสียชาติเกิดหรอกครับ ถ้าคุณจะใช้ชีวิตเป็นโสด

       ถือคติประจำใจว่า 'อยู่เป็นโสด ดีกว่ามีผัวเลว '

ที่มาของบทความ :  นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล / ภาควิชาจิตเวชศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 

หมายเลขบันทึก: 130055เขียนเมื่อ 20 กันยายน 2007 17:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
ตามมาอ่านความจริงของชีวิต อิอิ เขียนได้ดีเลยค่ะ (กระทบซะหลายท่านเลยค่ะ 5555+)

ตามคนแรกมา...

นั่นสิเนอะ ชีวิตคู่คือการเติมเต็มซึ่งกันและกัน ...อยู่ไปไม่มีความสุขอยู่ไปทำไมน้า

แล้วทำไมคุณหมอต้องยิ้มด้วยละ อยู่ในข่ายไหนเนี่ย

  • เข้ามาขำด้วยคน
  • อืมน่าคิดมากคะ
  • มิน่าผู้หญิงทุกวันนี้ถึงชอบอยู่คนเดียวอิอิ

ผู้หญิงถูกต้องที่สุดแล้วที่จะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิต  แต่บางครั้งผู้หญิงบางคนก็ยอมเลือกที่จะมีความสุขกับคนที่เรารัก  ถึงแม้บางครั้งจะมีความทุกข์บาง  แต่สุดท้ายก็ต้องให้อภัย  "เพราะคำว่ารัก"

 

แต่ถ้าปวดหัวมากๆ  ก็อยู่คนเดียวมีความสุขกว่า

อิอิ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท