12 กันยายน มีงานสัมมนาวิชาการประจำปีครั้งที่ 30 ของคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เราเสนอเรื่อง “โครงสร้างอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ”
เคยมีคนถามว่า ทำไมทำงานหลายเรื่องจัง (คงดูคล้ายจับฉ่าย) ที่จริงเป็นเพราะต้องสอนวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตร เศรษฐศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติ และพัฒนาชนบทไทย วิชาหลังนี้ หากไม่รู้เรื่องเกษตร ไม่รู้เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ก็คงอธิบายอะไรไม่ได้มากเท่าไร
อันที่จริง เกษตรกรไทยนั้นทำงานหนักกว่ามาก เพราะต้องตัดสินใจในหลายเรื่อง ใช้หลายศาสตร์ ทั้งการจัดการและการใช้ทรัพยากร การผลิตการเกษตรไปจนถึงการตลาด นอกจากนี้ยังมีการทำงานนอกภาคเกษตรในบางช่วงเวลาอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อนำไปสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในชีวิตตนเองและครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียกรวมๆว่า "สวัสดิการ"
ในฐานะนักวิชาการ คงพยายามทำความเข้าใจ "โครงสร้างของระบบ" ให้มากที่สุด ทั้งกลไกการทำงานของรัฐ (ในเชิงนโยบาย กฎกติกา) และกลไกการทำงานของตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น "กรอบ" ที่มีผลต่อวิถีชีวิตชาวบ้านโดยตรง
ในขณะเดียวกันก็พยายามทำความเข้าใจ "วิถีชีวิต" และพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเกษตรกรภายใต้กรอบดังกล่าว โดยหาเวลาลงมาทำงานร่วมกับชาวบ้าน สัมผัสชาวบ้านให้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย (ซึ่งจริงๆแล้ว ยังทำได้น้อยมาก)
หน้าที่ที่น้กวิชาการมักจะพยายามทำ คือ มีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อ "ปรับเปลี่ยนระบบ นโยบาย กติกา" ที่เป็นปัญหาอยู่ เคยคิดว่าการทำงานในพื้นที่อาจสามารถแก้ปัญหาชาวบ้านได้ แต่ยังอยู่ภายใต้โครงสร้างที่ครอบทับอยู่ข้างบน
จริงๆแล้ว ประสบการณ์บอกว่า การมองอย่างข้างบนนี้ไม่ถูกต้องเท่าไร เพราะในสังคมไทยที่ "รัฐแยกจากสังคม" (อาจารย์เสกสรรค์ว่าไว้) ผู้ทำหน้าที่ปรับเปลียนระบบ นโยบาย ไม่ได้ "รับลูก" ใดๆจากนักวิชาการ ต่อให้เป็นงานวิชาการที่ดีและมีข้อเสนอที่น่าจะทำได้จริง งานวิชาการก็เลยลอยเท้งเต้ง
ทางที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างข้างบนได้จริง กลับกลายเป็นงานที่ต้องมาสร้างพลังในพื้นที่ แล้วเอาพลังข้างล่างขึ้นไปผลักดันข้างบน
แต่อย่างไรเสีย คิดว่าสังคมไทยยังต้องการคนช่วยมองเชิงโครงสร้าง ทั้งโครงสร้างในแนวกว้าง และแนวดิ่งที่เชื่อมโยงจากระดับพื้นที่ไปจนถึงระดับประเทศ
อีกสองงานที่ทำคือ งานบริหารและงานสอน ทั้งนี้เพื่อสู่เป้าหมายเดียว คือ สร้างนักศึกษาซึ่งเป็นผู้ที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆในการที่จะก้าวขึ้นไปอยู่ในโครงสร้างระดับบน ให้มีจิตสำนึกต่อสังคมและเรียนรู้ว่าชาวบ้านทั่วไปเขาอยู่กันอย่างไร
ไม่อยากปล่อยให้ระดับรากหญ้าต้องเป็นฝ่ายเหนื่อยขับเคลื่อนอยู่ตลอดไปโดยที่ข้างบนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ทั้งหมดที่ทำอยู่นี้จึงเป็นพันธกิจที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียว
อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากค่ะ ยินดีที่ได้ติดตาม อาจารย์ในเวปนี้ เคยได้ไปฟังอาจารย์ในงานสัมมนาวิชาการ หลายปีมาแล้ว ........................
ชอบตรงนี้มากค่ะ "สร้างนักศึกษาซึ่งเป็นผู้ที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆในการที่จะก้าวขึ้นไปอยู่ในโครงสร้างระดับบน ให้มีจิตสำนึกต่อสังคมและเรียนรู้ว่าชาวบ้านทั่วไปเขาอยู่กันอย่างไร"
ปัญหาอีกอย่างที่เคยประสบ
แม้หลายเรื่องในวงที่ดิฉันทำงานอยู่ ผู้ทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนระบบ นโยบาย ได้ "รับลูก" จากนักวิชาการไปปรับเปลี่ยนแก้ไขออกมาชัดเจนแล้ว
แต่แม้นโยบายจะเปลี่ยน แต่เมื่อมาเข้ามือฝ่ายปฏิบัติที่ไม่เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน ข้อเสนอที่ทำได้จริงในทางนโยบายแล้ว ก็ไม่ลงสู่ภาคปฏิบัติให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อชาวบ้านได้
คงต้องช่วยกันปลุกจิตสำนึกในทุกระดับมังคะ ? แล้วอาจารย์คงต้องยิ่งทำงาน "จับฉ่าย" กว่าเดิมเป็นแน่
อย่าลืมพักบ้างนะคะ เป็นห่วงค่ะ
สวัสดีค่ะคุณรวมมิตร V9
ยังไงก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อสังคมที่ดีกว่าเก่าค่ะ
คุณ pilgrim คะ
เป็นอย่างที่คุณ pilgrim ว่าจริงๆ เพื่อนๆที่เป็นนักขับเคลื่อนงานก็บ่นกัน ปัญหามีตลอดขบวนเลยนะคะเนี่ย
จริงๆยังมีกระบวนการงบประมาณ และระบบราชการที่แก้ไขยาก
โดยส่วนตัว ดิฉันอยากจะคิดว่า รัฐควรแก้ไขระบบค่าตอบแทน และวิธีประเมินผลงานของข้าราชการเสียใหม่ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้ดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กรและวิธีทำงานขององค์กรค่ะ
ได้เขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ด้วยแล้วค่ะ