หนูได้อ่านบล๊อกของ ดร.แสวง รวยสูงเนิน กับการเดินทางเข้าค่ายกล “โง่-จน-เจ็บ”แล้วทำให้นึกถึงชุมชนของหนูซึ่งอยู่กับประโยค(โง่ จน เจ็บ) จนถึงทุกวันนี้วันนี้ก็เลยขอนำบทความของอาจารย์มาให้นักศึกษามหาลัยชีวิตได้อ่านและทุก ๆ ท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ
ที่พยายามจะเอาเปรียบคนอื่น (ที่น่าจะเป็นคน “โง่” ที่คิดแบบนี้ แต่กลับคิดว่าตัวเองฉลาด)จะต้องพยายามทำให้คนอื่น “โง่” กว่าตน จึงจะได้ผล ยิ่งทำให้เกิดวงจรความ “โง่” ขยายแบบ ทวีคูณ จนแทบหาจุดจบไม่ได้ ในเรื่องค่ายกล “โง่-จน-เจ็บ” ที่อาจารย์ขจิต ฝอยทอง เซียนบล็อกกามนิตหนุ่ม เข้ามาสะกิดผมไว้ในวันก่อน ค่ายกลนี้มีความหมายหลากหลายมากมาย กว่าที่เราจะคิดถึงได้หมดในทันที เพราะ มีทั้งในเชิง
วิถีชีวิต
เศรษฐกิจ
สุขภาพ
การศึกษา
สังคม
ทรัพยากร
สิ่งแวดล้อม
ฯลฯ แค่คำว่า “โง่” ที่แต่ละคนที่พูดมา ก็มีมุมมองที่อาจต่างกัน เช่น
โง่(ไม่รู้) เลยต้องเสียค่าโง่ (ทำแล้วพลาด สูญเปล่า หรือ เสียค่าปรับ หรือ เสียหายในรูปแบบต่างๆ)
โง่ (ไม่มีการศึกษา) อ่านหนังสือไม่ออก เลยถูกหลอกต้ม ตุ๋นสารพัดเรื่อง
โง่ (ไม่รู้กฎหมาย) เลยถูกจับ หรือ ทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว โง่ (ขาดความรู้ในเชิงวิชาการ) เลยพัฒนาที่สอดคล้องกับหลักทางวิชาการ หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้
โง่ (ไม่รู้เท่าทันคน) ก็เลยถูกหลอก สารพัดวิธี
โง่ (ประมาท) ก็เลยดำเนินชีวิตผิดพลาด
โง่ (อวิชชา) เลยไม่ทราบว่าการดำรงชีวิตอย่างไร จะดีที่สุด ฯลฯ เห็นไหมครับ แค่ “โง่” คำเดียวนี้กินความหมายกว้างไกล เกินกว่าที่จะพูดกันเล่นๆ ง่ายๆ แล้วก็มาพูดว่า “แก้โง่โดยการ....?????”
เพราะ “โง่” มันมากมายเกินกว่าจะแก้ได้ง่ายๆ เพียงวิธีเดียว ครั้งเดียว หรือ เรื่องเดียว แต่ “โง่” แบบหนึ่งๆนั้น กลับจะขยายผลนำไปสู่ความ “โง่” ในเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย โดยเฉพาะ การโง่แบบ “อวิชชา” ที่สามารถขยายผลได้เร็ว และกว้างไกล สู่ การ “จน” และการ “เจ็บ” ได้อีก เป็นร้อยยกกำลังร้อย เรื่อง (ลองคำนวณดูเองก็ได้ว่า น่าจะได้กี่เรื่อง) ดังนั้นความ “จน” จึงไม่น้อยหน้าความ “โง่” เหมือนกัน ที่สามารถแจกแจงออกได้เป็น
จนทรัพยากร
จนความคิด
จนเพื่อน
จนเงิน
จนความรู้
ฯลฯ
และที่สำคัญที่สุด จนปัญญา ที่เป็นที่มาและที่จบของความ “จน” ทุกอย่าง
ที่นำไปสู่ความ “เจ็บ” ในด้านต่างๆ เช่น
เจ็บกาย
เจ็บใจ
เจ็บทางความคิด
เจ็บด้านความรู้ และภูมิปัญญา
เจ็บทางระบบสังคมและวัฒนธรรม
เจ็บทางระบบเศรษฐกิจ
เจ็บทางระบบทรัพยากรสารพัดด้าน
เจ็บทางด้านสิ่งแวดล้อม
ฯลฯ
ที่ทำให้เราก้าวเดินต่อไปไม่ได้ ต้องหันกลับมารักษา “แผล” ที่ทำให้เรา “เจ็บ” ที่พอ “เจ็บ” แล้วก็ทำให้เรา “เดิน” ไม่สะดวก “ไปไหน” ยาก ที่จะทำให้เราวนกลับไปสู่ความ “จน” และ ความ “โง่” อีกไม่รู้กี่เรื่อง และที่สำคัญ
คนที่พยายามจะเอาเปรียบคนอื่น (ที่น่าจะเป็นคน “โง่” ที่คิดแบบนี้ แต่กลับคิดว่าตัวเองฉลาด) จะต้องพยายามทำให้คนอื่น “โง่” กว่าตน จึงจะได้ผล
ยิ่งทำให้เกิดวงจรความ “โง่” ขยายตัวแบบทวีคูณ จนแทบหาจุดจบได้ยาก แล้วเกษตรกร คนด้อยโอกาส และ คนที่ขาด “การศึกษา” ที่ไหน จะรอดค่ายกลนี้ไปได้ครับ
อาจเป็นไปได้ในบางกรณีครับ แต่ก็ไม่น่าจะจริงเสมอไป เขาอาจจะออกจากวงจร "โง่" หนึ่ง ไปสู่วงจรความ “โง่” อีกวงหนึ่ง ก็ได้ครับ เพราะ
ค่ายกลนี้ ไม่ได้มีวงเดียว
มีทั้งวงเล็ก วงใหญ่ซ้อนกันไม่รู้ต่อกี่เรื่อง กี่ชั้น
คงเป็นเช่นเขาวงกต กระมังครับ
ดังนั้น ผมจึงมองเห็นทางออกไม่มากนัก ตอนนี้ผมคิดได้แค่
การตัดตัว “อ” ออกจาก “อวิชชา” จึงน่าจะเป็นทางรอดที่แท้จริงของทุกคนร่วมกัน โดยทุกคน ให้เกิด “ปัญญา” ในการพัฒนาเพื่อทุกคนครับ แล้วเราอาจจะค่อยๆประคองตัว พากันถอยออกมาจากค่ายกล วงจรอุบาทว์นี้ ทีละน้อยๆๆๆ
จนหลุดพ้น ตามคำสอนของท่านพระพุทธเจ้า
อยากให้นักศึกษามหาลัยชีวิตทุก ๆ ท่าน นำกลับไปคิดและนำไปแก้ปัญหาในชุมชนของท่านและครอบครัวของท่านด้วยคะ เพราะอย่างน้อยกระบวนการเรียนการสอนของมหาลัยชีวิตก็สอดคล้องกับกับการแก้ปัญหากับคำว่า โง่ จน เจ็บ อย่างชัดเจน
ไม่มีความเห็น