ป่าชายเลน-เพชรในตมแห่งชายทะเล
แนวชายฝั่งทะเลของประเทศไทย 2815 กิโลเมตร เป็นบริเวณที่ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความหลากหลายด้านนิเวศวิทยา และมีคุณค่ามหาศาล จึงทำให้เป็นบริเวณที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการนำทรัพยากรมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยและขาดความระมัดระวัง และไม่คำนึงถึงความสามารถในการรองรับธรรมชาติ จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้านปัญหาความเสื่อมโทรมของตัวทรัพยากรและปัญหาความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ทรัพยากร
สังคมไม้บางชนิดที่รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มเหล่านั้น เราเรียกว่าป่าชายเลน(Mangroves) ซึ่งเป็นป่าไม้ชนิดหนึ่งที่ถูกมองข้ามความสำคัญมานาน จนในระยะไม่กี่ปีมานี้เองเริ่มมีการตื่นตัวและตระหนักในคุณค่ามหาศาลของมัน เพราะป่าชายเลนให้คุณค่าแก่เรายิ่งกว่าขนนมห่อใบจาก หลังคามุงจาก หรือถ่านไม้ชั้นหนึ่งหรือถ่านไม้โกงกางมากนัก
ป่าชายเลน เป็นสังคมของพืชพรรณไม้ที่ทนความเค็ม กับสังคมของสัตว์นานาชนิดในบริเวณชายทะเล ปากอ่าว และปากแม่น้ำ ตลอดจนชายฝั่งทะเลในบริเวณพื้นที่แนวเส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย อเมริกาใต้ แอฟริกา ฯลฯ ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นเขตที่มีน้ำทะเลท่วมถึง จึงเกิดบริเวณน้ำกร่อยที่ซึ่งมีน้ำจืดและน้ำเค็มรุกล้ำเข้ามาผสม ปริมาณน้ำจืดที่ไหลลงสู่ทะเลในแต่ละฤดู ตลอดจนการขึ้นลงของน้ำทะเล จะเป็นรอยต่อของน้ำจืดและน้ำทะเล จึงทำให้ป่าชายเลนเป็นป่าไม้ที่มีความซับซ้อนและอุดมสมบูรณ์มาก ในขณะที่มีชนิดและจำนวนพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์น้อยกว่าป่าแบบอื่น
สังคมพืชบริเวณป่าชายเลน จำเป็นต้องมีการปรับตัวให้อยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากสังคมพืชชนิดอื่น พืชเหล่านี้จำเป็นต้องปรับตัวทั้งระบบราก ลำต้น ใบ ดอกและผล ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ในลักษณะพิเศษ ใบจะมีต่อมขับเกลือ เพื่อควบคุมระดับความเข้มข้นของเกลือในพืช เซลล์ผิวใบจะมีผนังหนาเป็นแผ่นมัน ใบด้านล่างจะมีขนเป็นจำนวนมากทำให้ปากใบกลับชูสูงขึ้น ขนจะช่วยอุ้มน้ำและเก็บความชื้นบริเวณนั้นไว้ ทำให้ลดการคายน้ำลง ใบจะมีลักษณะอวบน้ำซึ่งช่วยเก็บรักษาปริมาณน้ำไว้ ส่วนรากจะมีระบบหายใจในลักษณะต่างๆกัน บางชนิดเช่นโกงกาง จะมีรากค้ำจุนเพื่อต้านลมพายุและคลื่น บางชนิดจะมีรากพูพอนเพื่อช่วยค้ำยัน นอกจากใบแสมและโกงกางที่ยังไม่เจริญเติบโตไม่ถึงพื้นดินจะเป็นแบบรากอากาศ (aerial roots) หน้าที่สำคัญของระบบรากแบบต่างๆดังกล่าวนี้ นอกจากจะช่วยค้ำจุนแล้วยังช่วยรับออกซิเจนจากบรรยากาศโดยตรง เนื่องจากใต้ผิวดินลงไปมีอากาศไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ รากหายใจของแสมยังสามารถสังเคราะห์แสงได้ด้วย ผลจะมีเมล็ดงอกออกมาตั้งแต่ยังติดอยู่บนต้น เช่น โกงกาง โดยจะมีลักษณะปลายแหลมยาวเหมือนฝัก เมื่อแก่เต็มที่ก็จะหล่นปักเลนหรือลอยตามน้ำไป มีต่อ
ไม่มีความเห็น