Surachet Suchaiya (Mobile: 089 205 3098, [email protected])
HomeWork# 13 Human Capital (15-Sep-07)
Workforce Alignment In an Organization.
Aj.Potchanart Seebungkerd
ความรู้ที่ได้จากการเรียนในวันนี้
วันนี้ Aj.Potchanart ให้ Case Study ที่ชัดเจนมา โดยพวกเราแบ่งกลุ่มกันมาต่อ จิ๊กซอ ทำให้ได้เห็นและเรียนรู้หลายอย่างจาก Case Study นี้ หันมามององค์กรของเราเองวิธีการบริหารจัดการของเราเอง ผมได้นำแนวคิดที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ดังนี้
หลายครั้งที่เรามอบหมายงานให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเราทำ เราไม่ได้ให้กรอบในการทำงานแก่ลูกน้อง งานที่ได้มักจะออกมาไม่ตรงแนวทางที่เราต้องและล่าช้ามากทั้งๆที่เราคิดว่ามันง่ายมาก ก็เพราะเราไม่ให้กรอบในการทำงานแก่พวกเขา. เราในฐาน Top Management ต้อง Challenge ลูกน้อง และต้องสร้างให้ลูกน้องกล้าที่จะ Challenge CEO ด้วย.
นอกจากกรอบในการทำงานอย่างเดียวยังไม่พอ เราต้องให้ Resource ให้เพียงพอต่อการทำงานของลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา โดยต้องให้อย่างทันกาล ทันท่วงที. หลายครั้งพบว่าพนักงานของเราที่มีประสบการณ์มาจากที่อื่น เมื่อเราไม่ให้ กรอบในการทำงาน Resource อย่างเพียงพอและทันกาล พวกเขาต้องช่วยตัวเองโดยใช้ประสบการณ์ในการทำงานจากที่อื่นมาใช้ บ้างก็เอาระบบที่อื่นมาใช้ ยิ่งถ้าต่างคนต่างที่มา ประสบการณ์ที่มีก็มักจะขัดแย้งกันในการทำงาน ทำให้มีปัญหาด้าน Alignment กันอยู่
ตัวอย่างเรื่อง Alignment ที่ Boots เคยประสบ.
เดิมที่ Boots มีนโยบายรับพนักงานที่มีปรสบกาณ์ในการทำงานจากที่อื่นมาทำงาน เนื่องจากพนักงานเหล่านี้ ผู้บริหารของ Boots มองเห็นว่าสามารถทำงานได้ทันที ไม่ต้อง Training อะไรมาก และ ทั้งยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการ Training แต่ผลเสียที่ Boots ได้รับช่างไม่คุ้มเอาซะเลย เนื่องจากพนักงานที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาจากที่อื่นมักจะเอาระบบที่อื่นมาใช้ในการทำงานที่ Boots ยิ่งต่างคนต่างที่มาประสบการณ์ก็ต่างกันไป ใครประสบการณ์คล้ายกันก็ร่วมงานกันได้ ใครไม่เหมือนกันก็ร่วมงานกันกับคนอื่นได้ยาก ทำให้ระบบการทำงานของ Boots เสียไป สุดท้าย Boots ต้องนับเด็กใหม่มาฝึกหัดระบบของ Boots เอง. จากตัวอย่างเรื่อง Alignment ของ Boots ทำให้เห็นถึง Personal Agenda ของตัวแต่ละบุคคล ที่เราในฐานะผู้บริหารองค์กรต้องแก้ไขให้มองไปในทิศทางเดียวกัน มองเห็นกรอบการทำงานร่วมกัน.
ถ้าพูดถึงเรื่องกรอบในการทำงาน ที่ให้แก่พนักงานตั้งแต่ตอนที่รับเข้าทำงาน ปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่จะไม่นิยมเขียน Job Description (JD) เนื่องจากพนักงานมักจะทำตาม JD ที่ได้รับมาเท่านั้น แต่เราจะเขียน Role and Responsibility (R&R) ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบไว้กว้างๆ แทน ไม่ให้บทบาทนิ่ง
ผมได้นำความรู้ที่ได้มาประยุกต์เป็นแนวทางในการพิจารณา Bonus แก่พนักงาน มิใช่ให้ทุกคน แต่ต้องพิจารณาจาก พนักงานคนใดสามารถทำตาม Job Requirement ได้เขาควรได้รับ Bonus ไม่เกี่ยงเรื่องวุฒิการศึกษา, เพศ, อายุ แต่การให้ Bonus
“การเชิญกรรมการอิสระจากข้างนอก”
จากเดิมที่เรามีแนวคิดว่าต้องการให้มีการบริหารงานแบบ Transparency(โปร่งใส ตรวจสอบได้) จึงมักจะเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ มาเป็นกรรมการอิสระ จากข้างนอกเข้ามาเพื่อตรวจสอบภายใน แต่หลายครั้งกรรมการอิสระเหล่านี้มีประสบการณ์และความเข้าใจในธุรกิจของเรามากน้อยต่างกันไป เมื่อมีการให้คำแนะนำ, ชี้แนะต่างๆ โดยขาดความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจของเรา มีผลทำให้ธุรกิจของเราเปลี่ยนทิศได้ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิก็ต้องมีการ Orientation ก่อนเข้ารับหน้าที่เป็นกรรมการอิสระ
สิ่งที่ผมมองเห็นอีกอย่างคือ ปัจจุบัน Trust หรือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” สำคัญกว่า Competency พิสูจน์ได้จากผลสำรวจนี้
เคยมีการสำรวจชาว American หาก รถยนต์ Brand Sony กับ Brand GM คุณจะเลือกซื้อรถยนต์ Brand ใด. คนส่วนใหญ่ตอบว่าเลือก Sony เนื่อง คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ารถยนต์สมัยนี้ต้อง Innovate คนส่วนใหญ่เชื่อใจ Sony มากกว่า GM ทั้งๆที่ Sony ไม่เคยมีแนวคิดที่จะผลิตรถยนต์.
ด้วยเหตุนี้เองที่ ปัจจุบัน Trust หรือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” สำคัญกว่า Competency ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Sony, Toshiba, JVC, ใช้ Branding เป็นกลยุทธ์สำคัญ.
Strategy แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1.Corporate Strategy
2.Business Strategy
3.Functional Strategy
สำหรับ Corporate Strategy จะครอบคลุมทุกๆ SBU (Strategic Business Unit)
สรุป Leadership หรือ สิ่งที่ผู้นำต้องทำมีดังนี้
1.Good Culture
2.Motivate ให้ลูกน้องสามารถทำงานได้.
ต้องใช้ระบบคุณธรรม และ คุณ นะ ทำ ในการบริหารงาน
กับท่าน อาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ นักศึกษาชื่อนางสาวญาณัญฎา ศิรภัทร์ธาดา เรื่อง ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน....
ในวันนี้นักศึกษาปริญญาเอกได้มีโอกาสพบกับท่านอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ ท่านกล่าวถึงเรื่องทุนมนุษย์ในภาพรวมและค่อนข้างจะครอบคลุมไปในหลากหลายมุมมองเพื่อให้เห็นภาพของ Macro ไปสู่ Micro ได้ชัดเจนนับว่าวันนี้เป็นวันที่มีคุณค่ามาก เพราะนักศึกษาได้รับความรู้จากท่านอาจารย์อย่างเต็มที่ ท่านกล่าวด้วยว่า ทุนนั้นกว่าจะได้มา ต้องมีการเสียสละออกไปก่อน นั่นคือการ Investment แต่เราจะมีการลงทุนเพื่อที่จะให้ได้มาแบบไหนมากกว่า ..การเรียนรู้สิ่งใดไม่สำคัญที่ปริมาณแต่อยู่ที่การรู้สิ่งนั้นอย่างจริงจัง ดังเช่นกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสว่า รู้ รัก สามัคคี.. มนุษย์เกิดมามีทุนเท่าเทียมกันแต่ใครจะมีความสามารถในการลงทุน เสียสละให้ได้มาซึ่งทุนในด้านอื่นๆได้มากกว่ากันเท่านั้น การเรียนรู้จึงสำคัญที่วิธีการเรียนรู้ มิใช่ ปริมาณที่ได้จากการเรียน ยกตัวอย่างที่วิทยาลัยการอาชีวะศึกษาในวันนี้ต้องปรับวิธีคิดให้คิดเป็นและร่วมสร้างพลังสมองมากกว่าที่จะเป็น Intensive Labor เพื่อเป็นกรรมกรที่ขายแรงงานอีกต่อไปทุนใดในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องประกอบด้วยทุนทางด้านอื่นๆเช่น เรื่องของ Balance Scorecard ทุนทางด้านความรู้เกี่ยวกับ Finance Marketing Production Productivity อย่างไรก็ตามยังมีทฤษฎีที่กล่าวถึงทุนมนุษย์อีกหนึ่งทฤษฎีนั่นคือ ทฤษฏี : HRDS ที่กล่าวไว้ดังนี้Happiness RespectDignitySustainableเรื่อง ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน....เป็นเรื่องที่กำลังมีความสำคัญเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ ในระยะหลัง จะมีการพูดถึง เรื่อง “ ผู้นำ ” หรือ Leadership มากขึ้น องค์กรในยุคใหม่ต้องการผู้นำทุกระดับ ไม่ใช่แค่เจ้าของหรือ CEO ยิ่งมีการปลูกฝังผู้นำให้มากขึ้นในองค์กรเหล่านั้น จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จหรือแก้ปัญหาได้ ยิ่งในยุคการแข่งขันจาก โลกาภิวัตน์ หรือความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัจจัยในประเทศ บทบาทผู้นำจะมีมากขึ้น • การจัดการธุรกิจในสภาพปัจจุบันมีการใช้หรือนำแนวคิดธุรกิจและเครื่องมือ การจัดการธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาดำเนินการ แต่สิ่งที่มีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจตามสิ่งใหม่ๆนั้นจะขึ้นอยู่กับผู้นำองค์การ ที่จะใช้ภาวะผู้นำได้ดีมากน้อยเพียงใด ต้องปรับระบบคิดใหม่ในเรื่องภาวะผู้นำนี้ โดยอ้างอิงถึงแนวคิดของนักทฤษฎีด้านภาวะผู้นำชั้นนำ 5 ท่านคือ ดรักเกอร์ เบนนิส เซนเก้ โควีย์และคอลลินส์ เรื่องภาวะผู้นำจากตัวอย่างของโมเดลภาวะผู้นำแบบ 4E’s ของ แจ็ค เวลซ์ • Energy• Energize• Edge• Execution และหลักการภาวะผู้นำของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ บทสรุปคิดใหม่ต้นแบบผู้นำแห่งโลกตะวันออก โดยต้องการท้าทายให้มีการศึกษาและพัฒนาต้นแบบภาวะผู้นำที่เหมาะสมกับบริบทและวัฒนธรรมการบริหารแบบไทย ซึ่งท่านอาจารย์จีระกล่าวว่าผู้นำมีหลายประเภ- ผู้นำทางวิชาการ
- ผู้นำทางการเมือง - ผู้นำทางศาสนา - ผู้นำทางธุรกิจ ( ใหญ่ ) - ผู้นำทางธุรกิจ ( SMEs ) - ผู้นำธุรกิจในฐานะมืออาชีพ - ผู้นำในฐานะเจ้าของ - ผู้นำทางด้านกีฬา - ผู้นำทางการทหารการบริหารงานในปัจจุบันนี้ผู้บริหารทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาวะการเป็นผู้นำเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะจะสามารถได้ใช้หรือพยายามชี้ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือพนักงานออกมาในการปฏิบัติงานให้มากที่สุด พึงระลึกไว้เสมอว่าพนักงานทุกคนมีความสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติงาน เป็นผู้ที่ผลักดันให้งานทุกอย่างของกิจการนั้นสามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น การบริหารงานที่ดีจะต้องมีผู้บริหารที่มีภาวะ ความเป็นผู้นำและเก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งการดำเนินชีวิตไปพร้อม ๆ กันความสำคัญของผู้นำในวันนี้ เส้นกราฟที่แสดงระหว่าง ความเป็น Leader กับ MANAGER ในภาวะของผู้นำ มีข้อสมมติว่าผู้นำจะต้องมีความสามารถในการบริหารด้วย คือต้องพยายามให้ช่องว่างระหว่างกราฟทั้งสองเส้นเป็นไปในทิศทางและเส้นเดียวกันคือต้องมีทั้งสองด้านชนิดของผู้นำก็ยังประกอบด้วย - Trust / Authority - Charisma - Situational- Quiet Leader
จากการวิจัยของ Center for creative leadership พบว่า การจะ develop ผู้นำ มี 5 วิธี เรียกว่า ทฤษฎี 5 E’s
1. Example 2. Experience 3. Education 4. Environment 5. Evaluation วิสัยทัศน์แห่งผู้นำของผู้บริหาร....• 2. เรียนรู้คนรอบข้างทุกๆคน เข้าใจธรรมชาติของคน Courage
คนรอบข้างของเรา เป็นฐานความรู้เพื่อทำให้เราเข้าใจคนอื่นๆได้มากขึ้น คนส่วนใหญ่มุ่งมองผลประโยชน์เพื่อตนเอง จนลืมไปว่า จริงๆแล้วการใช้ชีวิตในโลกนี้ เราต้องใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่น ต้องมีการติดต่อสื่อสาร คนที่เข้าใจธรรมชาติของคนอื่นๆ ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาว หรือ คนรวย คนจน ขอทาน ก็ตาม การที่เข้าใจความคิดของคนอื่น เข้าใจพฤติกรรมของคนอื่นจะเป็นคนที่สามารถมองเห็นความเป็นจริงของคนอื่นว่า เขาเป็นเช่นใด เมื่อฝึกทักษะการมองนิสัยของคนรอบข้างจนสามารถคุย 2-3 คำถาม หรือ ใช้เวลาอยู่กับเขาสัก 10-20 นาที แล้วสามารถบอกได้ว่า คนๆนั้นมีลักษณะนิสัยคร่าวๆเป็นอย่างไรได้ นั่นแหละ จะเข้าใจธรรมชาติของคนอื่นๆได้ดี เมื่อเข้าใจคนอื่นๆได้ดี เราจะเอาความสามารถเหล่านี้ มาประยุกต์ใช้กับการเข้ากับเพื่อนร่วมงาน เข้ากับเจ้านาย หรือแม้นแต่เข้ากับศัตรูได้ดีเช่นกัน การที่เรารู้จักเขาได้เร็วทำให้เราได้เปรียบ และสามารถนำคนอื่นๆได้ง่าย3. จริงใจและหวังดีกับทุกคน Caring
ความจริงใจเป็นสิ่งที่สื่อสารทางจิตใจ จากความรู้สึกที่ผ่านจากการแสดงออก น้อยคนนักที่อยากจะให้คนอื่นได้ดี และ ยิ่งมีน้อยคนที่มีความจริงใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะให้คนอื่นประสบความสำเร็จ การสร้างให้ตนเองมีความจริงใจ แสดงความจริงใจ ไม่เสแสร้งแกล้งทำว่า นี่เป็นคำแนะนำจากใจจริง แต่แฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ คนกลุ่มนี้สามารถสัมผัสได้จากความรู้สึกถึงการให้ว่าเขาให้จากใจจริงหรือไม่ ส่วนคนจริงใจ ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่า เขาหวังดีกับเราได้มากแค่ไหน คนทุกคนต้องการความจริงใจจากคนอื่น ดังนั้น ผู้นำหากมีความจริงใจเป็นที่ตั้ง คนอื่นๆก็จะมองเห็น และ จะเชื่อใจในการตัดสินใจของผู้นำ4. สื่อสารได้อย่างดี Communication
ไม่ว่าเรื่องยากแค่ไหนก็ต้องสามารถสื่อสารให้ทั้งคนฉลาด และ ไม่ฉลาดเข้าใจได้ครบถ้วน ต้องฝึกทักษะทั้งการพูด เขียน รวมถึงการตีความหมายของคำที่ผู้อื่นสื่อสารมาให้ได้ตรงประเด็น คนโง่ฟังคำอธิบายแล้วเข้าใจ คนฉลาดพูดนิดหน่อยถึงเข้าใจ ต้องรู้จักว่าคนที่เราสื่อสารด้วยนั้น มีความสามารถเช่นใด จะสื่อสารอย่างไรเพื่อให้คนหมู่มากเข้าใจได้อย่างพร้อมกัน และ ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ ทักษะการสื่อสารเป็นหัวใจของผู้นำ เพราะ ผู้ตามจะทำตามได้อย่างถูกต้องตามความต้องการหรือไม่นั้น ขึ้นกับการสื่อสารของผู้นำเป็นสำคัญ11. สะสมประสบการณ์ และ หาข้อดีและข้อเสียของการนำทีม แล้วเอามาปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น Optimism
คนที่ทำงาน ย่อมมีผิดพลาด การเป็นผู้นำก็เช่นกัน บางครั้งก็ต้องผิดพลาด หากมัวแต่กังวลกับข้อผิดพลาดเก่าๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว ก็จะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจตนเอง แต่หากมองในมุมว่า หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ดีขึ้น ต้องสรุป และ หาข้อดีข้อเสียของการทำงานในแต่ละขั้นอย่างเป็นกลางมากที่สุดแล้วปรับปรุงตนเองให้มีนิสัยเหล่านี้ ก็จะทำให้ภาวะผู้นำในตนเกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น...นางสาวญาณัญฎา ศิรภัทร์ธาดา คณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา [email protected]“A LEADING QUALITY UNIVERSITY FOR ALL”
Dear Prof. Chira,
The class on Saturday 22 September was one of the most fruitful and one of the most value time you spent with us.
Leadership in the changing world has made different to several aspects. The "leader" to any countries, organization or come down to the family size are the one who makes and set the direction among their particular community.
There are several type of leadership including academic, politic, religious and business aspect. Some people are "born" to be a good leader but however, there are some "train" to be a leader.
There are several theory on the "Leadership Roles" for example, Jack Welch, Michael Hammer, Posner & Kouzes and including Prof. Chira Hongladarom.
There are differentiation of leaders in the East and the West side of the world. There are factors in making different, which can be including of the culture, the living style, the religious etc.
It should not matter of where or which part of the world but the basic requirements to become a good leaders should be an alignment.
In the country aspect, Thailand can be one of the classic example in having the "change" and strong critical situation for the past years. The situation of the country in social, politic and economic had turned around and the country has been facing difficulty at times. All these critical happened because of the poor leader.
The previous leader of Thailand was not "born" to be a leader, obviously neither "trained" to be a leader. He was "bought" to be a leader. He spent his money to his way to the top. He immediate destroyed the ethical at the first step of his beginning in the new business as a politician.
The previuos leader of the country did not has any categories to fits as a leader of the country. The man turned all the situation in social, politic and economic to his own benifit.
There were no ethical standard whatsoever, the friendly society has turned in to a war in the middle of the capital, politic has became way under international standard, and economic wise was collasp. The leader was the key person of the whole situation.
The importance of having a good leader to do the "right things" and the team will be on the alignment in doing "things right" can only be happened under the right leader. The major effects happen under the dishonest man. All the wrong behavior happen in the society which impact the country.
Good leader make be a role model and full of value. The management of the country, organization and among the small communities will be put in the drive under good balance and fullfill of the human, intellectual, ethical, happiness social, sustainability, digital and talented capital.
The 8 capital can happend under the drive of the good leader and the positive result will falls in naturally.
The study and research on leadership always an interesting issue to work on. Seems to be a never ending story on "leadership".
Thank you very much.
Best regards,
Sarah (NaPombhejara) Allapach
การบ้านครั้งที่ 13
เรียนวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 กับท่านศาสตราจารย์ จีระ หงส์ลดารมภ์เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศนักศึกษาชื่อ นาย กฤษฎา สังขมณี ยามฝูงโคข้ามฟาก นที โคโจกนำตรงดี ไป่เลี้ยว ปวงโคอื่นตามรี่ รุดข้าม ทั้งหมดบ่คดเคี้ยว ไต่เต้าตามกันฯ อันสุภาษิตนี้ เตือนใจ แห่งผู้ที่เป็นใหญ่ ยิ่งผู้ มีหน้าที่นำใคร ใครนั่น จำจะต้องรอบรู้ จักแท้ทางตรง จะบงการแม้แต่ ครอบครัว ก็จักต้องประกอบ กิจไซร้ ให้เป็นเยี่ยงอย่างชอบ สุจริต ธรรมแฮ จึงจะอาจรักษ์ไว้ พวกพ้องพงศา ถ้าคิดพานิชตั้ง ค้าขาย ควบคุมคนทั้งหลาย ลูกจ้าง ให้สุจริตกาย วจนะ สินจึ่งจะไม่ร้าง เริดไร้ ไกรงาม ยามรับราชกิจไท้ ทรงรัฐ บังคับจะถนัด แน่ได้ ก็โดยที่เคร่งครัด ในระเบียบ การแฮ ประพฤติสุจริตไว้ มั่นแล้ว ไป่เข็ญ แม้นท่านผู้ปกป้อง ครองประชา สถิตสุธรรมา เที่ยงแท้ พศกก็ย่อมพา กันรัก ธรรมแล ประดุจฝูงโคแล้ ไต่เต้าตามขุน ฯ (ดุสิตสมิต พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า ร. 6) ในเวลา 9.00 น. อาจารย์เริ่มให้ความรู้ด้วยการใช้ Cultural Capital คือสร้างวัฒนธรรมในการใฝ่รู้ให้กับพวกเรา ท่านได้กล่าวถึงคนว่าองค์ประกอบนั้นมาจากการอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว (สุภาษิตแต้จิ๋วว่า ฉ่วง แก เจ๊ก ไก่ ซิม อึ่ง โท่ว เปี้ยง เส่ง กิม เจ๊ก แก จับ ไก่ ซิม กิม งึ้ง ฮ่วย ฮวย ติ๊ง ครอบครัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดินเหลืองก็กลายเป็นทองคำได้ ครอบครัวแตกความสามัคคี เงินทองก็กลายเป็นผงธุลี) ผ่านระบบการเรียนและวิธีการเรียน (นั้ง ปุ๊ก ขึ่ง ปุ๊ก เสียง เจ็ง ปุ๊ก เคียว ปุ๊ก เม้ง คนไม่ถูกตักเตือนไม่มีทางได้ดี ระฆังไม่ถูกเคาะไม่มีวันดัง) ผ่านสื่อสารมวลชน และสิ่งแวดล้อมทั้งปวง จึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร Michael Hammer กล่าวว่า “The world is changing very fast and unpredictable” ผู้นำจึงต้องมีระบบการเรียนรู้ที่ต่างไปจากเดิม การ Invest ในตัวคนโดยเฉพาะด้านการศึกษาต้องมี Harvest หรือ Rate of Return ที่คุ้มค่า ทฤษฎีเบ็ดตกปลา จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่เหมาะกับยุคสมัย แต่ต้องพร้อมไปกับทฤษฎี HRDS ( Happiness , Respect , Dignity , Sustainability) ที่ให้ความสำคัญกับคน อันเนื่องจากคนมิใช่สัตว์เศรษฐกิจนั่นเองคำว่า “ศักยภาพของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด” เป็นได้ทั้งคุณและโทษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีข้อมูลว่า คนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 5,000 ล้านตัน เผาป่าและไฟไหม้ป่าเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกปีละ 1,500 ล้านตัน เป็นตัวอย่างด้านโทษที่น่ากลัวมาก ผลการคิดค้นของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็มีทั้งประโยชน์อนันต์และโทษมหันต์ ฉะนั้นผู้นำในทุก ๆ ระดับ ทุก ๆ สาขาจึงต้องมีการพัฒนาความรู้และความคิดอย่างต่อเนื่อง และนำไปต่อยอดให้ได้ คือทฤษฎี Value Added แต่น่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่ค่อยมีวัฒนธรรมในการใฝ่รู้ การทำวิจัยยังมีน้อย ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วจึงถูกเปรียบเสมือนทฤษฎี Ladder Theoryผมได้แสดงความเห็นต่อท่านอาจารย์ไปว่า ผู้นำของไทยที่มองการณ์ไกลมากในอดีต คือสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ที่มีกุศโลบายนำประเทศให้รอดจากการเป็นอาณานิคม ด้วยการสร้างความเจริญมากมายทั้งด้าน Infrastructure และด้านทุนมนุษย์ นั่นคือการเลิกทาส สร้างโรงเรียน ส่งพระราชโอรสไปศึกษาวิทยาการตะวันตกหลากหลายด้าน หลายประเทศ และทรงเสด็จไปยังประเทศมหาอำนาจทุกประเทศเพื่อมีสัมพันธไมตรี ขณะที่เสด็จประพาสต้นหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อรับรู้สภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริง เข้าถึงความยั่งยืนของวัฒนธรรมท้องถิ่น เราจึงจำคำพูดที่ว่า “คล้ายนัก ๆ ขอรับ” ของชาวบ้านที่ได้เข้าเฝ้าท่านได้ดี เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มี Digital Capital เท่านั้น แต่สมัยปัจจุบัน รัชกาลที่ 9 ท่านเป็นผู้นำที่ดำเนินแนวทางเดียวกัน ทุกคนคงทราบข่าวเวลาน้ำท่วมช่วงปี 2526 ในหลวงทรงออกตรวจพื้นที่โดยไม่มีผู้ติดตาม นั่นคือความกล้าหาญและเสียสละของท่านต่อประชาชน เป็นตัวอย่างที่สอนเราด้านการจัดการทุนมนุษย์ได้อย่างดีมาก ประเด็นต่อมาที่อธิบายความแตกต่างของของผู้นำกับผู้บริหาร ก็คือผู้นำต้องเป็นยิ่งกว่านักบริหาร ซึ่งผู้นำมีหลายแบบ เช่น Trust / Authority , Charisma , Situation , Quiet Leader หลายคนมีหลายแบบอยู่ในตัวเอง ทั้งที่ติดตัวมา และผ่านการฝึกฝนเรียนรู้ อย่างไรก็ตามผู้นำต้องปรับตัว เรียนรู้การเปลี่ยนแปลง และยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ Center for creative leadership ทำการวิจัยแล้วพบว่าการพัฒนาผู้นำทำได้ด้วยทฤษฎี 5 E’s ประกอบด้วย Example , Experience , Education , Environment และ Evaluation น่าจะมี Ethics ด้วย ขณะที่การศึกษาภาวะผู้นำของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่าผู้นำมี 4 แนวคือ 1.Character (ที่ใฝ่รู้ คิดดี ทำดี) 2.มี Leadership skill (มีความสามารถในการตัดสินใจ การต่อรอง ทำงานร่วมกัน และทำงานบรรลุผลสำเร็จ) 3.Leadership Process (know where are you going ?, how to go? , how to get there ?) 4. มี Trust ที่ได้รับการยอมรับในตอนสุดท้าย ท่านอาจารย์จีระ ได้รวบรวมแนวทางจาก GURU 6 ท่านในการศึกษาผู้นำให้แก่พวกเรา ได้แก่ศ.ดร.จีระ |
JackWelch | Stephen Covey | Klann |
1.Crisis Management | 1. Energy | 1.Path Finding | 1.Courage |
2.Anticipate Change | 2.Energize | 2.Aligning | 2.Caring |
3.Motivate others to exellent | 3.Edge | 3.Empowering | 3.Optimism |
5.Explore Opportunity | 4.Execution | 4.Role Model | 4.Self Control |
6.Rhythm & Speed | - | - | 5.Communication |
7.Edge | - | - | - |
8.Teamwork | - | - | - |
9.Unpredictable Management | - | - | - |
Michael Hammer |
Posner & Kouzes |
1.Vision | 1.Role Model |
2.Communication | 2.Share Vision |
3.Commitment | 3.Challenge |
- | 4.Collaboration |
- | 5.Care & Sympathy |
ขอส่งงานซ้ำของวันที่ 4 สิงหาคม 2550 เนื่องจากระบบ Blog มีปัญหา ทั้งนี้ได้ให้ File ไว้กับคุณเอราวัณ ไว้แล้ว
เรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ การบ้าน PHD 8020 การจัดการทุนมนุษย์ (นพมาศ ช่วยนุกูล) “Leadership in a changing world : อาจารย์ Peter Bjork / 4 สิงหาคม 2550” 1. ความเป็นผู้นำ คือ การใช้อิทธิพลต่อผู้อื่นเพื่อให้เกิดความพยายามดำเนินงานให้บรรลุถึงเป้าหมายของกลุ่มหรือองค์กร2. ประเด็นสำคัญของภาวะผู้นำ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กร, การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร, การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงองค์กร, การเปลี่ยนแปลงความต้องการ, ทัศนคติของคนให้อยู่ในทิศทางเดียวกัน, การสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ, และการสร้างวัฒนธรรมและค่านิยมองค์กร 3. ประเภทของผู้นำ การนำปัจจัย 3 ประการได้แก่ เรื่องความสัมพันธ์ (Relation) เรื่องการเปลี่ยนแปลง (Change) และเรื่องโครงสร้าง (Structure) เข้ามาจำแนกทำให้เกิดผู้นำประเภทต่าง ๆ รวม 8 ประเภท คือ Laissez, Idea squirt, Nice guy, Bureaucrat, Gardener, Transactional, Entrepreneur, Visible อย่างไรก็ตาม เรายังอาจพบว่าการแบ่งหรือการจัดกลุ่มประเภทผู้นำนี้ บางตำราก็ใช้ปัจจัย 2 ประการ ได้แก่ คน และงาน มาเป็นตัวจำแนก ซึ่งทำให้ได้ผู้นำ 5 ประเภทคือ 1) ผู้นำแบบไม่เอาไหน คืออ่อนทั้งเรื่องคนและเรื่องงาน 2) ผู้นำแบบงานลูกเดียว คืออ่อนเรื่องคนแต่เน้นเรื่องงาน 3) ผู้นำแบบบันเทิงสโมสร คือเก่งเรื่องคนและอ่อนเรื่องงาน 4) ผู้นำแบบทีม คือเก่งทั้งเรื่องคนและเรื่องงาน 5) ผู้นำแบบครึ่งทาง คือให้ความสำคัญทั้งเรื่องคนและเรื่องงาน 4. การ workshop-instruction โดยการให้ยกตัวอย่างผู้นำคนต่าง ๆ ที่เรารู้จักเพื่อวิเคราะห์ว่าผู้นำแต่ละคนที่กล่าวถึงมีจุดแข็งและจุดอ่อน อย่างไร ใน 3 ประเด็นคือเรื่องความสัมพันธ์ (Relation) เรื่องการเปลี่ยนแปลง (Change) และเรื่องโครงสร้าง (Structure) ซึ่งได้มีการยกตัวอย่าง ได้แก่ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นผู้นำที่เป็นคนดี และมีจุดแข็งทั้ง 3 ประการ ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรี(คุณทักษิณ ชินวัตร) มีจุดอ่อนในเรื่องความสัมพันธ์ เป็นต้น 5. คุณสมบัติของผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย 1)การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน (Partnership) 2)ความอดทน (Endurability) 3)การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (MBO) 4)การปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อน (Acting as driving force) 5)การคลี่คลายข้อโต้แย้ง (Conflict solving) อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราจะเห็นได้ว่าคุณสมบัติของผู้นำมีมากมาย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้บางครั้งก็มีความสำคัญบางครั้งก็ไม่ค่อยสำคัญ กล่าวคือเราสามารถแบ่งคุณสมบัติของผู้นำตามระดับความสำคัญได้เป็น 1) คุณสมบัติที่จำเป็นต้องมี หรือคุณสมบัติที่สำคัญที่จะต้องมี 2) คุณสมบัติที่ควรต้องมี หรือคุณสมบัติที่พึงปรารถนา 3) คุณสมบัติที่สามารถมีได้ หรือคุณสมบัติที่ช่วยสนับสนุนให้ดีขึ้นแต่ไม่สำคัญมากนัก 6. หลักการสร้างภาวะผู้นำในงานและในชีวิต สามารถนำหลักพรหมวิหาร 4 มาใช้ได้ กล่าวคือ 1) เมตตา คือการอยากให้คนมีความสุขความสำเร็จ 2) กรุณา คือการช่วยให้คนสำเร็จในงาน 3) มุทิตา คือการยินดีเมื่อเขามีความสำเร็จ และ4) อุเบกขา คือกรวางเฉยหรือการตักเตือนเมื่อเขาทำออกนำกรอบงาน เป็นต้น 7. องค์กรที่ประสบความสำเร็จ ผู้นำจะต้องมีประสิทธิภาพ และผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นำอาจมีจำนวนน้อย ดังนั้นการพัฒนาหัวหน้างาน หรือระดับอื่น ๆ ให้เป็นผู้นำจึงมีความจำเป็น อย่างไรก็ตามหัวหน้างานอาจจะมีอำนาจที่เกิดจากตำแหน่ง (Authority) เพื่อให้สามารถบริหารงานได้ แต่ Authority อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการผลักดันงานให้บรรลุผล จึงจะต้องสร้างอำนาจ (Power) จากการเป็นผู้นำด้วย โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้องได้แก่ อำนาจจากการให้รางวัล, อำนาจจากการบังคับ, อำนาจโดยทางกฎหาย, อำนาจการอ้างอิง, และอำนาจจากความเชี่ยวชาญ เป็นต้น
ขอส่งงานซ้ำของวันที่ 4 สิงหาคม 2550 เนื่องจากระบบ Blog มีปัญหา ทั้งนี้ได้ให้ File ไว้กับคุณเอราวัณ ไว้แล้ว
เรียน ศ. ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ส่งการบ้าน PHD 8202 การจัดการทุนมนุษย์ /นพมาศ ช่วยนุกูล/ รภ สวนสุนันทา(อ.ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ / Competency-Based Management/ 11 สค.2550)1. Competency หมายถึง ความรู้ ทักษะ ความสามารถและพฤติกรรมของบุคคลที่จำเป็นในการปฏิบัติงานใดงานหนึ่ง โดยที่ ความรู้ ทักษะ ความสามารถและพฤติกรรม จะต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับแผนยุทธศาสตร์/ เป้าหมายขององค์กรอย่างชัดเจน ในขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนได้ให้ความหมายของ Competency (สมรรถนะ) ว่าคือคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะอื่น ๆ ที่ทำให้บุคคลสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พฤติกรรมในการทำงานเป็นผลรวมที่เกิดมาจากความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะอื่น ๆ ที่ทำให้คนทำงานได้โดดเด่น 2. Competency แบ่งเป็น Core Competency (ความสามารถหลัก : ความสามารถที่จำเป็นต้องมี) และ Functional Competency (ความสามารถเฉพาะด้าน : ความสามารถในการปฏิบัติงานเฉพาะด้าน, อาชีพ ) ซึ่งผู้เขียนมีความคิดเห็นว่าคือ “มาตรฐานบังคับ” และ “มาตรฐานวิชาชีพ” น่าจะสื่อถึงความหมายของ Core Competency และ Functional Competency ได้ชัดในระดับหนึ่ง 3. ความสำคัญและประโยชน์ของ Competency ต่อการบริหาร การวิเคราะห์ทักษะ ความรู้ ความสามารถ เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการประเมินศักยภาพของการปฏิบัติงาน และเพื่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ขององค์กร ซึ่งการประเมิน Competency โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ อาทิ Potential Matrix จะช่วยให้องค์กรพัฒนาคนได้อย่างถูกทิศทางและนำไปสู่การทำ Succession Planning ขององค์กร สำหรับกรณีการใช้ Competency (สมรรถนะ) ในระบบราชการก็เพื่อให้ข้าราชการมีพฤติกรรมในการทำงานที่องค์กรต้องการ โดยองค์กรต้องพิจารณาค่าตอบแทนให้สัมพันธ์ และจูงใจ หรือเสริมแรง ให้มีพฤติกรรมตามที่องค์กรต้องการ ที่กล่าวข้างต้นว่าสมรรถนะ ประกอบด้วยความรู้ ทักษะ ความสามารถ และพฤติกรรม ส่วนการวัดความรู้ ความสามารถ ทักษะนั้น ภาครัฐอาจวัดกันตั้งแต่การคัดเลือกบุคคลเข้าสู่องค์กร ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้อาจพิจารณาจากการศึกษา ประสบการณ์ของบุคคล ซึ่งจะเป็นการทำนายว่าความรู้ ความสามารถ ทักษะเหล่านั้นจะทำให้คนมีผลการปฏิบัติงานที่ดีตามที่องค์กรคาดหวัง และในส่วนของพฤติกรรมเราอาจวัดโดยใช้แบบฟอร์มการประเมินสมรรถนะที่มีประเด็นต่าง ๆ ที่จะประเมิน และแบ่งเป็นระดับ อาทิ การประเมิน Core Competency (สมรรถนะหลัก) อาจมีเรื่องการมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การสั่งสมประสบการณ์ในงานอาชีพ จริยธรรม และการร่วมแรงร่วมใจ เป็นต้น นอกจากการประเมินสมรรถนะ เพื่อประเมินพฤติกรรมแล้วในราชการยังมีการประเมินผลงานอีกประการหนึ่ง ซึ่งการประเมินทั้ง 2 อย่างนี้ ก็เพื่อนำผลการประเมินที่วัดได้ไปสร้างความสัมพันธ์กับค่าตอบแทน เพื่อจูงใจให้คนทำงานให้ดีขึ้นแล้วยังนำไปใช้เป็นแนวทาง/แผน ในการพัฒนาคน เพื่อให้คนมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และพฤติกรรมในทิศทางที่องค์กรต้องการ และคนเหล่านั้นก็จะปฏิบัติงานและนำพาองค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด ในทางปฏิบัติการออกแบบ Competency เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อถึงขั้นการประเมินด้วยแล้วมักเกิดปัญหาความไม่ชัดเจนทั้งในผู้ประเมินและผู้ถูกประเมิน ซึ่งมักไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์และบทบาทของตนเองอย่างถ่องแท้ ทำให้ 2 ฝ่ายเกิดอคติกัน ส่งผลให้การพัฒนาคนไม่บรรลุเป้าหมายในเวลาอันควร และเป็นอุปสรรคเชื่อมโยงสู่ความสำเร็จขององค์กรอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น องค์กรที่ดำเนินการในเรื่อง Competency จำเป็นจะต้องให้ความรู้ สร้างเข้าใจ ความชัดเจนให้กับบุคคลในทุกระดับ และผู้นำองค์กรต้องให้ความสำคัญ ร่วมมือปฏิบัติ และเป็นแบบอย่างที่ดี และที่สำคัญเครื่องมือจะต้องดีและเหมาะสมกับองค์กรด้วย เพื่อให้การลงทุน ลงแรง และเวลาที่ใช้ไปในการทำเรื่อง Competency เกิดประโยชน์ เกิดการพัฒนาคน และองค์กรประสบความสำเร็จ
ขอส่งงานซ้ำของวันที่ 15 กันยายน 2550 เนื่องจากระบบ Blog มีปัญหา
เรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ (Ref : อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด : Workforce Alignment In an Organization / 15 กันยายน 2550) (นักศึกษา : นพมาศ ช่วยนุกูล รภ.สวนสุนันทา) 1. การทำ Alignment ก็เหมือนกับการต่อจิ๊กซอเพื่อให้ได้ภาพใหญ่ภาพเดียว ดังนั้นองค์กรต้องมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน คนในองค์กรจะต้องมีการ Shared Vision ไปในทิศทางเดียวกันกับหน่วยงาน/องค์กร และพัฒนาตนเองให้เป็น Personal Mastering เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของตนเองและผลักดันให้องค์กรบรรลุวิสัยทัศน์ ตามลำดับ 2. ในแต่ละองค์กรควรจะมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์ วิสัยทัศน์ที่มีทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเชื่อมโยงต่อเนื่องไปสู่กลยุทธ์องค์กร และนำไปสู่การกำหนด Roles & Responsibilities ความเชื่อมโยงดังกล่าวนี้จะนำไปสู่การกำหนด KRA ในแต่ละ Function แต่ละกลยุทธ์ พร้อมดัชนีวัดผลความสำเร็จ และการกำหนดคุณสมบัติ หรือ Job Requriement หรือ Competency 3. อย่างไรก็ตาม คงไม่มีหน่วยงานใดทำงานตาม Function เพียงอย่างเดียว กล่าวคือหน่วยงานยังต้องมีหน้าที่ทำงานสนองยุทธศาสตร์ หรืองานมอบหมายพิเศษ หรือ งาน Cross Functional ซึ่งทำให้ทุกคนไม่อาจปฏิเสธความสำคัญของ Relationship และ Leadership ได้ 4. เมื่อบุคลกรกรมีผลงานตามเป้าหมายแล้วควรนำไปเชื่อมโยงกับระบบ Rewards และ Ownership กล่าวคือ เมื่อองค์กรมี เป้าหมายและ Align สู่ KUSA , Measured Accountabilities , Linked Rewards , Ownership Thinking ซึ่งก็คือ Workforce Alignment Model for Successful Strategy Execution 5. อย่างไรก็ตามผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า ใน Workforce Alignment Model ควรเพิ่มเติมเรื่องโครงสร้าง เข้าไว้ด้วย ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องโครงสร้างเป็นเรื่องที่มักอยู่คู่กับอย่างถาวรกับองค์กร ในขณะที่บุคลากร/ผู้นำองค์กร มีวงจรแบบหมุนเวียนคือเข้ามาและจากองค์กรไป ดังนั้น หากโครงสร้างองค์กรมีความเหมาะสม ก็จะมีส่วนเอื้อให้เรื่อง Measured Accountabilities , Linked Rewards , Ownership Thinking เป็นไปอย่างมีเหตุมีผล แต่ในทางตรงข้ามหากโครงสร้างองค์กรไม่ดี ก็จะเป็นอุปสรรคต่อ เรื่อง Measured Accountabilities , Linked Rewards , Ownership Thinking และส่งผลให้ Workforce Alignment ไม่มีความยั่งยืน และกระทบกับการบรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กรในที่สุด ...............................
วันที่ 22 กันยายน 2550
วันนี้นับว่าเป็นวันที่สำคัญและมีคุณค่ามากที่สุดสำหรับการปิดคอร์สวิชา”การจัดการทุนมนุษย์” เพราะศาสตราจารย์ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ท่านได้ทุ่มเท ตั้งใจและเสียสละเวลาสำหรับพวกเราเป็นอย่างมาก และก็เหมือนทุกครั้งเพราะอาจารย์บอกเสมอว่าบรรยากาศการเรียนที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนความรู้ตอนเช้าก่อนเข้าห้องเรียนจึงได้ประเด็นที่หลากหลาย เช่นการคิดให้คิดเชิงประจักษ์คือมีข้อมูลสนับสนุนไม่ใช่จากความรู้สึก ความรู้ที่ดีควรได้มาจากการ Sharing เพราะจะเกิดความต่างกันในความคิดได้ความรู้ที่ครอบคลุม รอบด้านกว่าการอ่านคนเดียว และการลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนทางปัญญา
ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยนย่อมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพราะองค์กรยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูงก็ต้องการผู้นำที่ไม่ใช่ผู้จัดการเท่านั้นซึ่งปัจจุบันพบว่ากำลังประสบปัญหาการขาดแคลนผู้นำในอุดมคติการเป็นผู้นำนั้นเป็นได้ไม่ยาก แต่การที่จะเป็นผู้นำที่ดีให้ได้นั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลปของการบังคับบัญชา ภาวะผู้นำ(Leadership) ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือภาครัฐจำเป็นต้องมีความรู้บางอย่างในทุกอย่าง (Know Something in Everything) หรือรู้ทุกอย่างในบางอย่าง (Know Everything in Something) เพราะบางครั้งการเป็นผู้นำที่มองด้านเดียวอาจเกิดปัญหาได้ ใครจะคาดคิดว่าอยู่ดี ๆประเทศไทยที่ประกาศอยู่เสมอว่าเป็นประเทศเสรี มีประชาธิปไตย กลับต้องเกิดการปฏิวัติโดยทหาร นี่ก็แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเกิดจากปัญหาของผู้นำระดับประเทศที่ขาดในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมในความเป็นผู้นำ
ผู้นำแม้จะมีมากมายหลายประเภทเช่นผู้นำทางวิชาการ ทางการเมือง ทางศาสนา ทางทหารและอื่น ๆอีกมากมาย แต่ถ้าจะมองเรื่องที่ใกล้ตัวมากที่สุดคือ “ผู้นำครอบครัว”เพราะเป็นผู้นำที่สำคัญและเป็นรากฐานให้ลูก ๆและสังคมคอบครัว ชุมชน ได้เห็น และแม้ว่าภาวะการเป็นผู้นำบางคนก็มีมาตั้งแต่เกิด (Born to be) อย่างไรก็ตามการจะเป็นผู้นำที่ดีก็ต้องมีการฝึกฝน การพัฒนาต่อยอดเช่นกัน ซึ่งมีทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำมากมายเช่น Jack Welch ,Michael Hammer ,Posner and Kouzea หรือ8 K’s ของศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์และ 8 H’sของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม ความเชื่อของประเทศทางตะวันตกและตะวันออกอย่างไรก็ตามการที่ได้มีโอกาสเรียนรู้กับศาสตราจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คุ้มค่าและเหมาะสมที่สุดกับยุคนี้แม้ว่าอาจช้าไปหน่อยแต่อย่างน้อยเป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการและความคิดว่าทำไมการเป็นผู้บังคับบัญชาจึงต้องมีกรอบ อ้างระเบียบไปซะทุกเรื่อง นั่นเป็นเพราะว่าผู้บังคับบัญชาเป็นผู้บริหารไม่ใช่ผู้นำ เพราะการเป็นผู้นำที่ดีย่อมทำให้ผู้อื่นอยากเดินตามดังนั้นต้องเน้นที่คน ต้องสร้างความเชื่อใจไว้วางใจให้ได้จึงต้องใช้ระยะเวลา เน้นนวัตกรรมให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง สามารถมองเห็นอนาคตขององค์กรได้อย่างชัดเจนโดยมีข้อมูลสนับสนุนสามารถวิเคราะห์ได้ว่าจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร
สิ่งสำคัญที่จะเติมเต็มของการเป็นผู้นำที่ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำจะต้องมีทุนมนุษย์ทั้ง 8 ประการ ตั้งแต่ทุนที่มีมาตั้งแต่เกิด ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และทุนทางด้านความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ ความคิด เพราะจะเป็นสิ่งที่ช่วยในการผลักดันให้เกิดการบริหารประเทศ บริหารองค์กร บริหารสังคมและชุมชน ที่มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งนอกจากนี้อาจารย์ยังแนะนำให้ศึกษาดูงานในสถานที่จริงอีก 3 แห่งในต่างประเทศซึ่งนับว่าป็นสิ่งที่ดีมากและที่ดีที่สุดคือการที่อาจารย์บอกว่าจะพาพวกเราไปด้วยต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับความเมตตาที่อาจารย์มีกับพวกเรา การปิดคอร์สในวันนี้คงเป็นการปิดคอร์สเพื่อการต่อยอดมากกว่าการสิ้นสุดการเรียน เนื่องจากสิ่งที่อาจารย์บรรยายวันนี้มีหลายเรื่องที่สามารถนำมาเป็นงานวิจัยในการทำดุษฎีนิพนธ์ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในความกรุณาที่เสียสละเวลามาให้ความรู้กับพวกเราด้วยความห่วงใยในการศึกษาครั้งนี้โดยที่อาจารย์จะย้ำเตือนอยู่เสมอว่า “ปริญญาไม่สำคัญเท่ากับการมีปัญญา” ดังนั้นการรู้จริงของพวกเราต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ
อรพินท์ มณีรัตน์[email protected]การบ้าน วันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550บรรยายโดย..ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์เรื่อง ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยนโดย..ชารวี บุตรบำรุง
สำหรับเช้าวันนี้ ท่านอาจารย์จีระ ได้กรุณาสละเวลาอันมีค่ามาให้ความรู้แก่พวกเรา ทำให้ได้แนวคิดมากมายที่เป็นประโยชน์ อาทิเช่น ขอให้มีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ ใฝ่รู้ ต้องมีปัญญา และ Investment ที่สำคัญที่สุด คือ ปัญญา มนุษย์เกิดมาเท่ากันอยู่ที่การลงทุน(ทุนทางปัญญา) อย่างต่อเนื่องและต่อยอด รวมทั้งต้องรู้ว่า แต่วันได้ความรู้ด้วยวิธีใด มีการแบ่งปันหรือไม่ สร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างไร เสมือนการปลูกข้าวอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักเก็บเกี่ยวด้วย “รู้จริง ดีกว่า รู้เยอะ” และต้องมี
H – Happyness มีความสุข
R – Respect ยกย่องมนุษย์
D – Dignity ให้เกียรติ ศักดิ์ศรีS – Sustainability ยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังทราบว่า ทุนมนุษย์ เป็นทรัพยากรที่มีค่า ต้องลงทุน และสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ เช่น Finance , Marketing ….ซึ่งล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับ ผู้นำ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ “ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน” ต้อง เก่งคน เก่งงาน เก่งการเปลี่ยนแปลง โดย
R E - H U M A N E E R I N G เป็นการบริหารงานและบริหารคนเพราะถือว่าคนเป็นทรัพยากร (RESOURCE) ที่สำคัญขององค์กร สิ่งที่จำเป็นในการRE-HUMANEERINGคือRE-HUMANEERING สามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในระบบ 5 W เพื่อปฏิบัติการคือ
ตัวอย่าง บิลล์ เกตส์ ผู้นำซอฟแวร์ของโลก มีภาวะผู้นำดังนี้ 1. ใฝ่รู้ 2. คิดสร้างสรรค์ 3. คิดนอกกรอบข้ามศาสตร์ 4. ทุนทางปัญญา 5. กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ
และโดยเฉพาะปัจจุบัน ในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการผันผวนในทุกๆด้าน ภาวะผู้นำ เป็นสิ่งที่จะทำให้สามารถขับเคลื่อนองค์กร ฝ่าวิกฤตยืนหยัดไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนต่อไปได้ ซึ่งภาวะผู้นำมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่
1. ภาวะผู้นำบารมีในการสร้างแรงบันดาลใจ (Charismatic – Inspirational Leadership) ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะแสดงออกด้วยการเป็นแม่แบบที่เข้มแข็ง ให้ผู้ตามได้เห็นตาม เกิดการรับรู้ในพฤติกรรมผู้นำ ทำให้เกิดการลอกเลียนแบบพฤติกรรมผู้นำขึ้น นอกจากนี้ผู้นำการเปลี่ยนแปลงยังมีพฤติกรรมปฏิบัติ ที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมสูงจนเกิดการยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ทำให้ได้รับความศรัทธา ความไว้วางใจ การยอมรับ นับถืออย่างลึกซึ้งจากผู้ตาม ดังนั้น ผู้นำจะต้องแสดงออกด้วยการสื่อสารให้ผู้ตามทราบถึงความคาดหวัง ที่ผู้นำมีต่อผู้ตามด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ ให้ยึดมั่นและร่วมสานฝันต่อวิสัยทัศน์ขององค์การ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายแทน การทำเพื่อประโยชน์เฉพาะตน ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นผู้ที่ส่งเสริมน้ำใจแห่งการทำงานเป็นทีม ผู้นำจะพยายามจูงใจผู้ตามให้ทำงานบรรลุเกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยการสร้างจิตสำนึกของผู้ตาม ให้เห็นความสำคัญว่า เป้าหมายและผลงานนั้นจำเป็นต้อง มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงทำให้องค์กรเจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จได้
2. ภาวะในการกระตุ้นทางปัญญา (Intellectual Stimulation) เป็นพฤติกรรมของผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่แสดงออกด้วยการกระตุ้นให้เกิดการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยใช้วิธีการคิดทวนกระแสความเชื่อและค่านิยมเดิมของตนหรือผู้นำหรือองค์การ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความรู้สึกท้าทายให้เกิดขึ้นแก่ผู้ตาม มองปัญหาเป็นโอกาส และจะให้การสนับสนุนหากต้องการทดลองวิธีการใหม่ ๆ ของตน หรือการริเริ่มสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ให้กับองค์การ ส่งเสริมให้ผู้ตามแสวงหาทางออกและวิธีการแก้ปัญหาต่างๆด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้ผู้ตามได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ กระตุ้นให้ทุกคนได้ทำงานอย่างอิสระในขอบเขตของงานที่ตนมีความรู้ความชำนาญ
3. ภาวะในการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualized Consideration) เป็นพฤติกรรมของผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่ให้ความสำคัญในการใส่ใจ ถึงความต้องการความสำเร็จและโอกาสก้าวหน้าของผู้ตามเป็นรายบุคคล ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลบางคนอาจต้องดูแลใกล้ชิด ในขณะที่บางคนมีความรับผิดชอบสูงอยู่แล้ว จะให้อิสระในการทำงาน เป็นต้น โดยที่ผู้นำจะแสดงบทบาทเป็นครู พี่เลี้ยง และที่ปรึกษาให้คำแนะนำในการช่วยเหลือผู้ตามให้พัฒนาระดับความต้องการของตนสู่ระดับที่สูงขึ้น สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี ส่งเสริมการเรียนรู้และความมั่นใจให้แก่ผู้ตามเพื่อให้ทำงานได้ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ
ภาวะทั้ง 3 องค์ประกอบ จะหลอมรวมพลังกาย พลังใจ พลังปัญญา ของคนทั่วทั้งองค์กร ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ การที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับใคร ก็ต้องเก่งพอ และ ดีเพียงพอที่จะเป็นแบบอย่าง
สุดท้าย อาจารย์ได้เน้นถึงทฤษฎีต่างๆ ของ ทุน 8 ประเภท (8 Ks) ทฤษฎี 5 Ks ใหม่ ทฤษฎี 4 Ls และ ทฤษฎี 2 R’s ซึ่งทั้งหมดนี้หากนักศึกษาได้ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วนำไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติให้ดี มีความชำนาญ ก็จะเกิดผลประโยชน์ต่อองค์กรและต่อตัวนักศึกษาเอง ที่ต้องการพัฒนา (Develop) ตนเอง ทำในสิ่งที่ดีกว่าเดิมเป็นการสร้างฐานสังคม และเป็นฐานแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ดังข้อความที่ดิฉันจำได้ตอนเด็กๆ
“.....ได้ประโยชน์หลายสถานเพราะการเรียน
จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล
ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย” เครือวัลย์ สมณะ26 กันยายน 255022 กันยายน 2550
...................................................
มนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นนักต่อสู้ตั้งแต่เกิดมา ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถรับรู้ได้แต่เราสามารถเรียนรู้ได้ว่า ในวันที่เราถือกำเนิดเกิดขึ้นมา เรามีแค่หัวกับหางและสัญชาติญาณในการเอาชีวิตรอด แม้จะเป็นแค่สเปิร์มตัวเล็กๆก็ตาม เรารู้ว่าเป้าหมายคือรังไข่ของแม่เราที่เราต้องแข่งกับพี่น้อง เราในคราวนั้นไม่น้อยกว่า 400 ถึง 500 ล้านตัว
และเราก็ได้รับชัยชนะ ซึ่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราก็คือการได้มีชีวิตเกิดขึ้นมาสู่โลกใบนี้ จากนั้นเราก็ถูกหล่อหลอมจากแม่...พ่อ...คนในครอบครัว โรงเรียนและสังคมรอบข้าง
ภาวะผู้นำภายในตัวเรา จะถูกปลูกฝังให้ก่อตัวขึ้นที่ละเล็ก ทีละน้อย จากสิ่งแวดล้อมที่รายรอบตัวเราโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว ถ้าใครอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกฝึกให้รู้จักการเป็นผู้นำตั้งแต่เล็กๆ เราจะค้นพบภาวะผู้นำในตัวเราได้ด้วยความรวดเร็ว แต่ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสตัดสินใจเองคิดเอง ทำเอง ฯลฯ โอกาสที่จะรู้ตัวตนว่า ภาวะผู้นำเป็นเช่นไร ก็จะช้ากว่าผู้อื่นหลายเท่า
ผู้นำจึงแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆคือ 1. ผู้นำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และ
2. ผู้นำที่เกิดขึ้นจากการได้รับมอบหมายหรือแต่งตั้ง
สำหรับท่านอาจารย์จีระ ท่านได้แยกชนิดองผู้นำไว้ ดังนี้ 1. Trust หรือ Authorit 2. Charisma 3. Situational 4. Quiet Leader
สำหรับผู้นำชนิดที่ 4 นี้จะคิดเป็นหลัก มีแนวความคิดที่นับว่ามีทุนทางปัญญาสามารถคิดวิเคราะห์ได้ดี
ผู้นำหลักๆในองค์กรจะมี 3 ระดับ คือ 1. ระดับล่าง 2. ระดับกลาง
3. ระดับบนหรือระดับยอด
ซึ่งในแต่ละระดับต้องมีความสามารถและความรับผิดชอบที่ต่างกัน ที่สำคัญก็คือในแต่ละระดับต้องมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ในโลกปัจจุบันถ้าจะมีการวิเคราะห์ในแง่มุมต่างๆของผู้นำในบ้านเรา ระหว่าง
ผู้นำหญิงกับชาย คนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ตะวันตกกับตะวันออกราชการกับเอกชน ต่างกันอย่างไร
ถ้าจะวิเคราะห์กันเช่นนี้เห็นทีจะเรื่องยาว แต่ต้องยอมรับว่าผู้นำที่ว่ากันด้วย เพศ ต้องยอมรับว่าผู้หญิงเราเก่งมานานแล้ว แต่ในอดีตที่ผ่านมา ผู้หญิงมักไม่ค่อยได้รับโอกาส ผู้หญิงสามารถเป็นผู้นำได้ดีไม่แพ้ผู้ชาย แม้แต่น้อย
และจากการวิจัยของ Center for creative Leadership พบว่า การที่จะ Develop ผู้นำมี 5 วิธี เรียกว่าทฤษฎี 5 E 1. Example = รูปแบบที่ดี 2. Experience = มีประสบการณ์ที่ดี ชอบงานท้าทาย 3. Education = ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ หาความรู้ตลอดเวลา 4. Environment = เป็นผู้นำที่สร้างบรรยากาศให้ผู้น้ำเกิดขึ้นมีการกระจายอำนาจให้รับผิดชอบ 5. Evaluation = ต้องมีการประเมินผลที่ดีและได้ผล
การวิเคราะห์ของอาจารย์ที่ University of Washington ผู้นำจะต้องมี 4 วิธี คือ
1. Character ต้องมีคุณลักษณะที่- ชอบเรียนรู้- มีทัศนคติที่เป็นบวก- มีคุณธรรมจริยธรรม 2. มี Leadership skill คือ - การตัดสินใจที่ดีแม่นยำ - การเจรจาต่อรอง ที่มีศิลปะและชั้นเชิงเหนือชั้น - การทำงานเป็นทีม ที่ต้องรู้จักการบริหารทีม- ชอบทำงานที่ยากและท้าทาย Get thing done
3. Leadership Process มีกระบวนการในการมีภาวะผู้นำ เป็นผู้มี Vision ต้องมองไกล คิดไกล และต้องมองอนาคตให้ออก คาดการณ์ได้แม่นยำ 4. Leadership Valueต้องแสดงออกพร้อมทั้งปฏิบัติตนให้ผู้คนรอบข้างมองเราให้ออกว่า คุณค่าเราอยู่ตรงไหน
ในส่วนของแนวคิด The Klann Leadership ของ Creative Leadership ได้กล่าวไว้ว่าผู้นำต้องมีคุณลักษณะ ดังนี้ คือ 1. กล้าหาญ Courage 2. มีความเป็นห่วงเป็นใย Caring 3. มีความคิดเชิงบวก Optimism 4. สามารถควบคุมตัวเองได้ดี Self control 5. สื่อสารได้ดี Communication
แนวคิดเรื่อง Leadership Challenge ของ Posner และ Kouzes เป็นแนวคิดที่ถ้าเราสามารถนำมาปรับให้สอดคล้องกับคนไทยได้อย่างเหมาะสม ก็จะถือได้ว่าเป็นแนวคิดที่สามารถนำมาพัฒนาศักยภาพผู้นำของไทยเราได้อย่างดี
1. ผู้นำต้องเป็นแม่แบบที่เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะลูกน้องจะดูเราเป็นต้นแบบ และจะดำเนินรอยตามเรา ถ้าเราเป็นต้นแบบที่ดี เราก็จะได้ผู้ตามที่ดี แต่ถ้าเรานำไม่ดี เราก็จะได้ผู้ตามที่แย่ๆ 2. จุดประกายสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน ปลูกฝังให้ทุกคนมีวิสัยทัศน์ และให้ทุกคนมีโอกาส Share Vision เพราะในแต่ละระดับชั้นย่อมมีมุมมองที่ต่างกันออกไป มุมมองเล็กๆอาจสร้างผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ ผู้นำที่ดีย่อมไม่สบประมาทวิสัยทัศน์ของผู้น้อย ไม่ว่ามุมมองนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม 3. ท้าทายสิ่งที่เป็นอยู่ อย่ายอมรับสภาพเดิม สร้างวัฒนธรรมการมีนวัตกรรมใหม่ๆ ต้องรู้จักทำงานที่ท้าทาย พร้อมทั้งรู้จักการบริหารความเสี่ยง 4. ดึงความเป็นเลิศของผู้อื่นผู้นำที่เก่งต้องรู้จักดึงความเก่งที่เป็นจุดแข่งของผู้อื่น มาใช้ประโยชน์ได้เหมาะกับโอกาส
5. แสดงความมีน้ำใจกับผู้อื่นจงยินดีและยอมรับความสำเร็จของผู้อื่น แม้ดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หาโอกาสแสดงและฉลองความสำเร็จร่วมกัน การเป็นผู้นำคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เราต้องรู้จักใช้ศาสตร์และศิลป์ไปพร้อมๆกัน โดยเลือกโอกาสที่เหมาะสม
ผู้นำที่ดีจึงต้องวางตัวเองให้เหมาะ ในขณะเดียวกันก็ต้องกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รายล้อมตัวเรา ที่สำคัญคือ ผู้นำจะต้องพัฒนาหาความรู้ อยู่สม่ำเสมอ และตลอดเวลา มิฉะนั้นเราจะกลายเป็นคนตกโลก หลุดยุค ไม่สามารถกลมกลืนไปกับโลกปัจจุบันและอนาคตได้.
................................นายพนม ปีย์เจริญMR. Panom Peecharoen27.9.2007
เรียน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ (Homework 13)
จากการศึกษาในหัวข้อ"ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยน" กับท่าน ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 ผมขอสรุปประเด็น และShare ความคิดดังนี้
เมื่อพูดถึงการบริหารทัรพยากรมนุษย์ องค์กรใดจะบริหารได้ดีหรือไม่เพียงใด มักจะมองไปที่ตัวของ"ผู้นำ" (Leadership) ว่ามีภาวะการเป็นผู้นำมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง หรือธุรกิจในยุคโลกาภิวัตน์ ผู้นำยิ่งมีบทบาทมากขึ้น
ผมใคร่ขอกล่าวถึงผู้นำในองค์กรที่ผมทำงานอยู่ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการผู้นำขององค์กรของผมท่านเป็นผู้นำประเภท "ผู้นำทางวิชาการ" แต่แฝงไปด้วย "วิชาการเชิงธุรกิจ" นั่นคือเมื่อท่านก้าวขึ้นมารับตำแหน่งใหม่ๆ ด้วยวิสัยทัศน์อันยาวไกลของท่านทุกคนให้เกียรตินับถือ แต่การที่ท่านมองการIณ์ไกลเกินไป หลายสิ่งหลายอย่าง ผู้ใต้บังคับบัญชาเดินตามไม่ทัน การบริหารในภาพรวมจึงเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อท่านมองงานวิชาการเป็นหลัก ท่านต้องการให้มีเครือข่ายทางวิชาการที่หลากหลายแต่นั่นก็คือต้องมีเม็ดเงินตามมาด้วย โดยลืมมองถึงเรื่องของ "คน" ว่าคนในองค์กรจะสามารถทำได้หรือไม่ ในขณะที่มีงานประจำ และงานที่ได้รับมอบหมายจากส่วนงานที่สังกัดล้นมือ ปัญหาต่างๆ ค่อยๆ เกิดขึ้นตามลำดับบุคลากรมีความรู้สึกว่าเหมือนกับถูกบังคับให้ทำ แต่เมื่อทำงานมากขึ้น ผลตอบแทนยังคงเท่าเดิม ทำให้หลายต่อหลายคน ต้องมองหางานใหม่และค่อยๆ ออกจากองค์กรไปทีละคนสองคน แม้กระทั่งในส่วนของบุคลากรที่เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ก็ถูกบีบในเรื่องของเวลาในการปฏิบัติงาน หน่วยงานนี้อยู่ในกทม. เดิมเคยมาลงเวลาได้ไม่เกิน 09.00 น. แต่เปลี่ยนการลงเวลาจากการเซ็นชื่ออย่างเดียว เป็นการสแกนนิ้วลงเวลาด้วย และต้องมาทำงานภายใน 08.00 น. ทำให้บุคลากรเจ้าหน้าที่หลายคน ต้องหางานใหม่ เพราะไม่สามารถรับกับกฎระเบียบดังกล่าวได้กว่า 20 คน ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนงาน แม้จะรักองค์กรเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถอยู่ในองค์ได้ เพราะมิฉะนั้นจะมีผลต่อการประเมินเพื่อต่อสัญญา/ขึ้นเงินเดือน
จากนั้นประมาณ 1 ปีเศษๆ "ผู้นำ" คนดังกล่าว จึงค่อยๆ ได้คิด และยอมปรับกฎระเบียบให้ยืดหยุ่นลงมาโดยให้มาปฏิบัติงานได้ภายใน 08.30 น. บุคลากรจึงเริ่มมีความรู้สึกในเชิงบวกกับผู้นำมากขึ้น
ที่ยกเป็น Cast ข้างต้น เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการปฏิบัติด้านการบริหารบุคคลของ "ผู้นำ" ในองค์กรของผม ซึ่งจริงๆ แล้วยังมีอีกหลากหลายพฤติกรรมของ "ผู้นำ" ที่ "ไม่มองคน" ทำให้องค์กรเกิดความระส่ำระสายมีแต่เสียงซุบซิบนินทา แต่ก็เป็นเพียงเสียงของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ยิ่งในวงการราชการด้วยแล้ว แทบไม่มีผลอะไรเลยในเสียงของคนระดับปฏิบัติงาน ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามนโยบายเป็นหลักในการทำงาน ทั้งนี้ องค์กร ตลอดทั้งบุคลากรขององค์กร จะเป็นปกติสุขในการทำงานได้ "ผู้นำ" ต้องหันกลับมาดูแล "บุคลากร" ในองค์กร นั่นคือบริหารบุคคล โดยใช้หลัก "คุณธรรม - จริยธรรม" และ "ธรรมาภิบาล" พร้อมสร้างขวัญ กำลังใจให้มากขึ้น องค์กรจึงจะอยู่รอด และเจริญเติบโตต่อไปได้
หนึ่งในคุณสมบัติของผู้นำที่ดี "เก่งคน เก่งงาน เก่งการเปลี่ยนแปลง" จะเห็นได้ว่าการจะเป็นผู้นำที่ดีได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ผู้นำต้องเน้นสิ่งเหล่านี้ในการบริหารองค์กรด้วย นั่นคือ
• เน้นคน • ได้รับการยอมรับ(Trust)
• มองไกล • What, Why
• เน้นภาพลักษณ์ • เน้นนวัตกรรม
• ปรับเปลี่ยนให้ทันตามสภาวการณ์(Change)
* รูปแบบของผู้นำ *
จากการวิจัยของ Center for creative leadership (CCL) พบว่าเราสามารถ develop ผู้นำมี 5 วิธี ที่เรียกว่าทฤษฎี 5 วิธี ที่เรียกว่า ทฤษฎี 5 E's คือ
จากการวิเคราะห์ผู้นำ ของอาจารย์จาก University of Washington ได้จำแนก คุณลักษณะผู้นำไว้ 4 ประเภท คือ
1. Character คุณลักษณะที่พึงปรารถนา เช่น
• ชอบเรียนรู้ • มัทัศนคติเชิงบวก
• มีคุณธรรม จริยธรรม
2. มี Leadership Skill ที่สำคัญ คือ
• การตัดสินใจ • การเจรจาต่อรอง
• การทำงานเป็นทีม
3. Leadership process คือการมี Vision และมองอนาคตให้ออก
4. Leadership value คือการมี Trust ความศรัทธาในตัวผู้นำ
แนวคิดที่น่าสนใจ เกี่ยวกับ "ผู้นำ" อีกเรื่องหนึ่ง คือ Leadership Challenge ของ Posner และ Kouzes ซึ่งได้พูดถึงคุณสมบัติของผู้นำไว้ 5 ประการ
1. การเป็นแม่แบบที่ดี
> พูดถึงคุณค่าของตัวเองให้ชัดเจน
2. จุดประกายการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน
> มองอนาคต และแสวงหาความเป็นไปได้
3. ท้าทายสิ่งที่เป็นอยู่
> สร้างวัฒนธรรมการมีนวัตกรรมใหม่
> แสวงหาทางออก, บริหารความเสี่ยง
4. ดึงความเป็นเลิศของผู้อื่นให้มาร่วมงานกับเรา
> แสวงหาความร่วมมือ
> พัฒนาจุดแข็งของผู้อื่น, กระจายอำนาจ
5. แสวงหาความมีน้ำใจต่อผู้อื่น
> ยกย่อง, ยอมรับในความสำเร็จของผู้อื่น
ถ้าจะมองถึงการเป็น "ผู้นำ" ของ "ผู้หญิง" แม้ว่าจะมีการแต่งตั้ง, เลือกตั้งในบางประเทศ, บางองค์กร, บางส่วนงานขององค์กร แล้วก็ตามที แต่ผมมองว่า "ผู้หญิง" จะเป็น "ผู้นำ" ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น หลายเรื่องที่สุดท้ายแล้วต้องอาศัย "ผู้ชาย" ในการแสดงถึง "การมีภาวะผู้นำ" ให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ เพราะจุดหนึ่งที่เป็นประเด็นสำคัญในความแตกต่างระหว่าง ผู้ชาย กับผู้หญิง คือ "ความเข้มแข็ง" และ "ความเด็ดเดี่ยว" กล้าตัดสินใจ มีมากกว่า (ในภาพรวม) และมีความอ่อนไหวในทุกเรื่องน้อยกว่าผู้หญิง ดังนั้น ถ้าผู้หญิงจะขึ้นเป็นผู้นำขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "องค์กรใหญ่" คงจะเป็นไปได้ยาก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย เพราะทุกอย่างเป็น "โลกาภิวัตน์" ทั้งสิ้น นั่นคือมีสิทธิที่จะเป็นไปได้ เพราะ
"ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน"
ท้ายที่สุด จากคำพังเพยที่ว่า "ถ้าหัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก" เป็นคำเปรียบเปรยได้กับคนที่จะเป็น "ผู้นำ" ในยุคโลกาภิวัตน์ จะต้อง
- กล้าที่จะเริ่ม - กล้าจะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง, ความเสี่ยง เปรียบเสมือนผู้นำของประเทศไทย พระองค์หนึ่ง นั่นคือ "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ก่อนที่จะกู้เอกราชให้กับชาติไทย พระองค์ท่านทรงให้ทหารทุก คนทุบหม้อข้าวหม้อแกงที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทหารทุกคน ว่าเราจะต้องชนะข้าศึก และมีอาหารรออยู่ข้างหน้าแล้ว "ชนะเล็กๆ เพื่อชนะใหญ่ๆ"
- ขอบคุณครับ-
สิทธิชัย ธรรมเสน่ห์
วันที่ 22 กันยายน 2550
บรรยายโดย ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์
การบริหารองค์กร ทฤษฎี 3 วงกลมวงกลมที่ 1 Context หรือ สภาพแวดล้อมในองค์กรนั้น เอื้ออำนวยต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบโครงสร้างองค์กรมีความเหมาะสม และอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการที่ดี หรือไม่
- การนำระบบ IT มาใช้ในการบริหารจัดการช่วยให้ได้ติดตามผลการดำเนินงาน และสั่งการได้รวดเร็ว รวมทั้งข้อมูลนำมาใช้ในการวางแผนงาน และกำหนดกลยุทธ์
- Process ของงานขบวนการทำงานต้องวางระบบการทำงานให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
- การนำ Data และ Knowledge นำข้อมูลและความรู้ต่างๆ มาพัฒนาองค์กรให้มีความรู้เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่า
Gap จากภาพจะมีส่วนที่วงกลมที่ 1, 2 และ 3 ซ้อนกันนั้นจะต้องทำการวิเคราะห์ว่ามีสิ่งแวดล้อม และ Competencies รวมทั้งการ Motivation สิ่งใดที่เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดช่องว่างนั้นวงกลมที่ 2 Competencies
- องค์กรจะต้องมีวัฒนธรรมในการแสวงหาความรู้- ผู้บริหารมีภาวะเป็นผู้นำ
- ผู้นำจะต้องมีโลกทัศน์ที่กว้าง และกำหนดวิสัยทัศน์ที่ดี
- องค์กรจะต้องค้นหา Innovation
- การบริหารเวลา (Time Management) เป็นเรื่องสำคัญของทุกองค์กร
- Creativity มีความคิดสร้างสรรค์
- มีทัศนคติเป็นบวกต่อองค์กร (Positive Thinking)
- ทำงานเป็นทีม
- การบริหาร Knowledge องค์กรจะต้องมีการบริหาร Knowledge เพื่อให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
- Change Management ผู้บริหารจะต้องมีการบริหารความเปลี่ยนแปลง
- การกระจายอำนาจให้ได้ผล การบริหารเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพจะต้องมีการกระจายอำนาจให้ได้ผล
- ความสามารถในการตัดสินใจ ผู้บริหารต้องตัดสินใจเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
- ความสามารถในการรับฟัง และยอมรับความจริง ผู้บริหารจะต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และนำมาพิจารณายอมรับความจริง
Competencies แบ่งเป็น 5 เรื่อง
1. Functional Competency
ความรู้ความเชี่ยวชาญของอาชีพจะต้องมีการศึกษา และฝึกอบรมเพิ่มเติมให้คงมีความรู้ที่ทันสมัย และเชี่ยวชาญตลอดเวลา
2. Organizational Competency
มุ่งเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญขององค์กร ได้แก่
- ปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร
- ปรับปรุงวิธีการทำงานโดยนำเครื่องมือการบริหารสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น Six Sigma และ TQM
- มุ่งเน้นวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้ทุกคนรัก และศรัทธาองค์กร
3. Leadership Competency
- มุ่งเน้น People skill มุ่งเน้นในความชำนาญเชี่ยวชาญของผู้นำ
- Vision ผู้บริหารจะต้องมี วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
- Trust ผู้นำจะต้องมี Trust ความเชื่อถือเป็นที่ยอมรับของผู้เกี่ยวข้อง
4. Entrepreneurial Competency
- ต้องมีมโนคติที่ดี ทัศนคติที่ดีต่อองค์กร
- ทัศนคติที่ดีต่อการดำเนินงาน
- การบริหารความเสี่ยงมีการติดตาม และวางแผนป้องกันความเสี่ยงที่จะมีผลต่อองค์กร
5. Macro and global Competency
- ต้องทราบ และติดตามว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชาติ และระดับโลก
- การมุ่งเข้าหาโอกาส และหลีกเลี่ยงอันตรายวงกลมที่ 3 จะต้องหาวิธีทำอย่างไรให้การ Motivation มีประสิทธิภาพ
Motivation
- การมีระบบโครงสร้างเงินเดือน และค่าตอบแทนที่เหมาะสม และเน้น Pay for Performance และการทำงานอย่างมีความสุขอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข- การให้โอกาสแก่ผู้ร่วมงานมีความก้าวหน้าตามความสามารถ และความเหมาะสมขององค์กร
- การให้คนในองค์กรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และร่วมในการทำงาน
- ให้มีการฝึกฝน และมอบหมายงานที่ท้าทาย
- ให้ผู้ร่วมงานทำงานกันเป็นทีม เป็นการฝึกความรับผิดชอบ
- การให้รางวัลพิเศษแก่ผู้ที่มีความสามารถ
- การให้โอกาสแก่ผู้ร่วมงานเพิ่มพูนความรู้ตลอดเวลา
- ให้มีวัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนต้องปฏิบัติ
- มีการพิจารณา และประเมินผลงานของคนในองค์กรอย่างโปร่งใส
- ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ร่วมงานทุกคน
- มีรูปแบบ (Style) ในการบริหารงาน
- สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี เพื่อช่วยส่งเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และ ทำงานอย่างมีความสุข
- Empowerment มีการมอบหมาย กระจายอำนาจเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงผู้นำคือผู้ที่ทำให้คนอื่นเก่งและนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จหรือหลีกเลี่ยงความล้มเหลวองค์กรทุกองค์กรจะต้องมีผู้นำในภาวะที่โลกเปลี่ยนแปลงผู้นำมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะต้องมีผู้นำที่ดี จึงจะสามารถนำพาองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโลกได้
ผู้นำจะต้องพาองค์กรไปสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ ที่มีการเปลี่ยนแปลง และการไม่แน่นอนทางการเมือง ของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้นำองค์กรจะต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ เพื่อองค์กรอยู่รอด
ผู้นำมีหลายประเภท
- ผู้นำทางวิชาการ
- ผู้นำทางการเมือง
- ผู้นำทางธุรกิจ (SMEs)
- ผู้นำทางธุรกิจในฐานะมืออาชีพ
- ผู้นำในฐานะเจ้าของ
- ผู้นำทางด้านกีฬา
- ผู้นำทางด้านทหาร
ความแตกต่างระหว่างผู้นำกับผู้บริหารผู้นำ |
ผู้บริหาร |
- เน้นที่คน - Trust - ระยะยาว - What, Why - มองอนาคตขอบฟ้า/ภาพลักษณ์- เน้นนวัตกรรม- Chough | - เน้นระบบ- ควบคุม - ระยะสั้น - When, How- กำไร/ขาดทุน- จัดการให้สำเร็จมีประสิทธิภาพ - Static |
ชนิดของผู้นำ
- Trust มีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับ Authority มีคำสั่ง
- Charisma มีบุคลิกดี อุปนิสัยมีเสน่ห์
- Situational มีโอกาสพวกที่มีประสบการณ์หรือการเรียนมามากย่อมมีโอกาสมาก
การวิจัยของ Center for Creation leadership
ผู้นำมี 5 วิธี เรียกว่าทฤษฎี SE’s
1. Example ต้องดูรูปแบบที่ดีเป็นตัวอย่างได้
2. Experience สร้างประสบการณ์ที่ดีผ่านความลับ ผ่านความล้มเจ็บปวด ความเหลวมาแล้ว
3. Education มีการเรียนและการฝึกอบรมเพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ
4. Environment สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
5. Evaluation ต้องมีการประเมินผล
การวิจัยของอาจารย์ที่ University of Washington
ผู้นำจะต้องมี 4 วิธี
1. ชอบศึกษาหาความรู้
2. มีทัศนคติเป็นบวก
3. มีประสบการณ์ในการทำงาน
4. มีคุณธรรม จริยธรรมLeadership ในความหมายของ ศ.ดร.จิวะ หงส์ลดารมย์
1. Crisis management ต้องมีความสามารถในการบริหารภายใต้สภาวะวิกฤต
2. Anticipate change ต้องรู้การเปลี่ยนแปลงล่วงหน้า
3. Motivate other ต้องกระตุ้นให้เกิดความบ้าคลั่งจนเป็นเลิศ
4. Conflict resolution การบริหารความขัดแย้ง
5. Explore opportunities การแสวงหาโอกาส
6. Rhythm & speed ต้องมีกาละเทสะ รู้จักจังหวะเวลา ในการทำงาน
7. Edge (Decisiveness) จะต้องชี้ขอบเขตการทำงานให้ชัดเจน
8. Teamwork การทำงานเป็นทีม
9. การบริหารความไม่แน่นอนบทบาทของผู้นำ (header ship roles)
Stephen Corley ได้กำหนดบทบาทของผู้นำได้ 4 บทบาท
1. Path Fending กำหนดทิศทางในการทำงาน
2. Aligning กระตุ้นผู้ร่วมงานให้ไปในทางเดียวกัน
3. Empowering กระจายอำนาจให้ผู้ร่วมงาน
4. Role Model เป็นตัวอย่างที่ดี
The Klan Leader ship ของ center for creative Leadership
- Courage กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ
- Caring ห่วงใย ดูแลผู้ร่วมงาน
- Optimism คิดในเชิงบวก
- Clef control ควบคุมตนเอง
- Communication การถ่ายทองและการสื่อสารกับผู้ร่วมงาน
Michael Hammer มี 3 เรื่อง
- Vision
- Communication
- Commitmentแนวคิดเรื่อง Leader ship challenge ของ Posner และ Kouges
1. ผู้นำต้องเป็นแม่แบบเป็นตัวอย่างที่ดี
วิธีคือ – พูดถือคุณค่า (Value) ของตัวเองให้ชัดคืออะไรปฏิบัติตามที่กำหนดคุณค่านั้น ๆ
2. จุดประกายสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน
สรุปการเป็นผู้นำที่ดีนั้นต้องรู้จักการวิเคราะห์หาเหตุและผล (Analytical Mind) มองทุกสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า(Appearance)อย่างลึกซึ้ง มองทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลึกถึงเหตุปัจจัย (Cause) และสามารถคาดคะเนผลที่เกิดตามมา (Consequence) เป็นผู้ที่ตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ใคร(Who) ทำอะไร(What) ที่ไหน(Where) เมื่อไร(When) ทำไม(Why) อย่างไร(HOW) มองพฤติกรรมบุคคล (Person) เหตุการณ์ (Event) สามารถโยงถึง หลักการ (Principle) ได้ และ ใช้หลักการ (Principle) สร้างวิธีการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา และป้องกันปัญหา เพื่อให้เกิดเหตุการณ์ (Event) ที่ต้องการ และ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคล (Person) ให้อยู่ภายไต้การควบคุมได้
ขอบคุณครับ สรณิต พุ่มพฤกษ์
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของผมเห็นว่าผู้นำนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำในรูปแบบเสมอไป แต่อาจเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “ผู้นำตามธรรมชาติ” ซึ่งบางครั้งทำงานเกิดสัมฤทธิผลมากกว่าผู้นำในรูปแบบด้วยซ้ำไป เพราะสามารถผูกใจและโน้มน้าวผู้คนได้ เข้าลักษณะที่ว่า “ผู้นำคือผู้ที่คนอื่นอยากเดินตาม (ด้วยความยินยอมพร้อมใจ)” ไม่ใช่ต้องทำตามเพราะคำสั่งแต่ไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่การจะเป็นผู้นำได้ดีก็ต้องสร้างเครดิตและศักยภาพให้เห็นว่าตนเองมีความพร้อม นอกจากปัจจัยขั้นพื้นฐานที่ว่าจะต้องเป็นคนดีมีจริยธรรมแล้ว ผู้นำจะต้องเป็นผู้ที่มองเห็นปัญหาก่อนใครว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และมองออกด้วยปัญญาด้วยว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร เท่านั้นยังไม่พอ ต้องกล้าตัดสินใจด้วย มิเช่นนั้นการคิดออกก็ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากนี้ ผู้นำทำคนเดียวไม่ได้ ต้องโน้มน้าวให้คนอื่นคล้อยตามและร่วมมือ เหนือสิ่งอื่นใดคือการเห็นความสำคัญของทีมงาน เมื่องานสำเร็จต้องให้เครดิตผู้อื่น ไม่ใช่เก่งอยู่คนเดียว แต่ต้องถือเป็นความสำเร็จร่วมกัน ทุกคนมีคุณค่าในฐานะองคาพยพหนึ่งขององค์กร ซึ่งหากจะร้อยเรียงเป็นคำสั้นๆที่ใจหรือจำง่ายก็อาจจะกล่าวได้ว่าผู้นำนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ “มองเห็นปัญหา มีปัญญาแก้ไข กล้าตัดสินใจ โน้มน้าวผู้อื่นได้ สู้เส้นชัยพร้อมทีมงาน” แต่จะทำให้ครบคุณสมบัติที่ว่านี้ได้มากน้อยเพียงใดและรวดเร็วเพียงใดก็คงต้องขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและพัฒนาองค์ความรู้ (knowledge) ทักษะ (skill) ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดมรรคผลต่อไป
รักษเกชา แฉ่ฉาย
การบ้านครั้งที่ 8
Five Discipline ของ Mr.Peter M.Senge มีความคล้ายคลึงกับ 8k’s ของ Prof. Dr. Chira Hongladarom เป็นอย่างมาก ทั้ง 2 ทฤษฎีเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้และพัฒนาคน ซึ่ง 8k Theory จะมีลักษณะเป็นวัฒนธรรมตะวันออก ซึ่งจะเน้นถึง คุณธรรม และความสุขรวมอยู่ด้วย ส่วน Five Discipline ของ Mr. Peter M. Senge จะแนวคิดเป็นตะวันตก เป็นการเน้นความจำเป็นของตัวบุคคลและการทำงานเป็นทีม การคิดอย่างมีระบบ 2 ทำอย่างไรจะนำ Idea ของทั้ง 2 ผ่านมาเป็นหลักปฏิบัติ ในทางปฏิบัติควรจะเริ่มจากการทำความเข้าใจ และทฤษฎีทั้ง 2 มาทำการวิจัยลงรายละเอียดให้มาก รวมทั้งจัดทำเป็นแผนงาน เพื่อนำไปปฏิบัติและเผยแพร่ (Action Plan) การเผยแพร่อาจจะจัดทำเป็นการจัดสัมมนาเผยแพร่ โดยเชิญผู้รู้และผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อคิดเห็น และขอความร่วมมือเพื่อก่อให้เกิดความรู้และเผยแพร่หลายมากขึ้น ขั้นตอนในการปฏิบัติอาจใช้ทฤษฎี 2R’s ของ Prof. Dr. Chira Hongladarom มาใช้ 2R’s คือ
1. Reality มองความจริง
2. Relevance ตรงประเด็น Reality คือ การอยู่กับความจริง ทำความเข้าใจกับเหตุการณ์รอบตัว และมองด้านปัญหาในการพัฒนาและการแก้ไข Relevance คือ ความเกี่ยวข้อง สิ่งที่เกี่ยวข้องต่อสถานการณ์สามารถนำมาวิเคราะห์และใช้ทฤษฎี 8k และ 5 Discipline มาเป็นตัวนำได้
การบ้านครั้งที่ 9
Innovation หมายถึง นวัตกรรม คือ สิ่งที่เกิดจากความรู้และความคิดสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม” ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ต้องเป็นสิ่งใหม่สำหรับผู้สร้างสรรค์ แต่เก่าสำหรับคนอื่น ความคิดสร้างสรรค์ กับ นวัตกรรมนั้น ไม่มีทางรู้เลยว่า ความคิดนั้นใหม่หรือไม่ (ยกเว้นแต่จะอ้างอิงกับมาตรฐานบางอย่าง) และไม่มีทางบอกได้ว่ามันมีคุณค่าหรือเปล่าจนกระทั่งผ่านการประเมินทางสังคม นวัตกรรมมี 2 ประเภท คือ
1.นวัตกรรมแบบปิด
2.นวัตกรรมแบบเปิด
แต่ส่วนใหญ่ที่นิยมคือการนำนวัตกรรมมาผสมผสานกัน นวัตกรรมผสมผสาน เกิดจากการผสมผสานแนวคิดที่แตกต่างโดยไม่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเท่า นวัตกรรมเฉพาะทางและเกิดจากการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆเข้าด้วยกันในทางที่ไม่ธรรมดา เป็นผลจากการเคลื่อนย้ายผู้คน,การบรรจบกันของศาสตร์สาขาต่าง ๆ และการประมวลผลที่ล้ำยุค แนวทางเล็ก ๆน้อย ๆ นการสร้างนวัตกรรม คือปัญหาคาใจต่าง ๆ
1. เข้าไปจุดไหนดี
2. เข้าไปทำอะไรดี
3. รู้ว่าทำอะไร แต่จะทำอย่างไร
4.ใครเป็นคนทำ
5. ความสามารถเรามีแค่ไหน ใครช่วยได้ จากปัญหาต่าง ๆเหล่านี้ทำให้เราต้องหาคำตอบ โดยการหาความรู้จาก web site หนังสือ เอกสาร
นวัตกรรมเป็น Process ไม่ใช่ Product แต่ก่อให้เกิดเป็น Product ในภายหลัง และนวัตกรรมเกิดจากความคิดเป็นขั้นเป็นตอนไม่ใช่เกิดจากอุบัติเหตุ และการทำวิจัยภายในหน่วยงานเพื่อสร้างนวัตกรรมนั้น ปัจจุบันอาจไม่ทันโลกทันเหตุการเนื่องจากตอนนี้มี Open Innovation Model คือ นวัตกรรม Out Source จากภายนอกได้ โดยที่ งานวิจัยเป็น Research Driven ส่วน นวัตกรรมเป็น Market Driven ยกตัวอย่างบ้านเราเอง คิดอะไรไหม่ๆ ได้เสมอแต่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง หรือนำไปปฏิบัติได้แต่ Scale Up ไม่ได้ เพราะ นวัตกรรมที่เห็นผลสำเร็จในเชิงพานิชย์และสามารถนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้ นอกจากความคิดสร้างสรรค์แล้วยังต้องการความเป็นผู้ประกอบการด้วย
การบ้านครั้งที่ 10
การประเมินศักยภาพของคนในองค์กรจึงมีบทบาทในเรื่อง HR และการบริหารผลการปฏิบัติงาน (P M : Performance management) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ
ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ
1. Performance Planning /Goal-setting
2. Continuous coaching and Feed back
3. Performance review and evaluation
4. Corrective and adaptive action นอกจากนี้ในแต่ละส่วนเชื่อมโยงกันโดยเริ่มที่การตั้งเป้าหมายในการบริหารผลการปฏิบัติงานการ และการตั้งเป้าหมายที่ดี (S MART Goals) จะต้องมีความเฉพาะเจาะจง กำหนดระยะเวลา สามารถวัดได้ สอดคล้องกับความเป็นจริง และสามารถทำให้สำเร็จได้ อาจสรุปได้ว่าทุกคนต้องรู้ทิศทาง (Vision, Mission และวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย) ขององค์กรอย่างเข้าใจและถ่องแท้ ตรงกับทฤษฏี 2R's ของ ศ.ดร.จีระ ได้แก่ SMART นอกจากนี้การพัฒนาปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้ กระบวนการ P M ประสบความสำเร็จได้แก่การฝึกอบรม และการพัฒนา มีที่ปรึกษาที่ชาญฉลาด เป็นที่ยอมรับ และเป็นที่ไว้วางใจ มีความก้าวหน้าในการทำงานการบ้านครั้งที่ 11
อาจารย์อรพิน ยก case study ต่างๆมาบรรยายให้ฟังแล้วได้สรุปประเด็นสำคัญๆซึ่งตามconcept ของ Good governance ตามที่ UN ESCAP กำหนดมี 8 หลักการคือ
1. การมีส่วนร่วม (participatory)
2. การปฏิบัติตามกฎหมาย (rule of law)
3. ความโปร่งใส(transparency)
4. ความรับผิดชอบ (responsiveness)
5. ความสอดคล้อง (consensus oriented)
6. ความเสมอภาค (equity and inclusiveness)
7. การมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (effectiveness and efficiency)
8. การมีเหตุผล(accountability
หลักการธรรมภิบาลโดยภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนจะต้องให้ความสำคัญกับ
1. ความสุจริต ชัดเจน และโปร่งใส (Honesty &Transparency)
2. ความพร้อมรับผิดชอบ (Accountability)
3. คุณธรรมจริยธรรมและมโนสุจริต (Integrity)
4. การมีส่วนร่วม (Participation) และ
5. มีความเท่าเทียมกันในสังคมและเป็นธรรม (Equity and Fairness)
หลักการบริหารภาครัฐสมัยใหม่ (New Public Management)
หลักการบริหารภาครัฐสมัยใหม่จะต้องมีธรรมาภิบาล(Good Governance )ซึ่งธรรมาภิบาลจะประกอบด้วยหลักที่สำคัญคือ
1. หลักประชาธิปไตยคือต้องมีเสรี มีส่วนร่วม
2. หลักการบริหารสมัยใหม่
3. หลักกลไกลตลาดประเทศไทยต้องรวมกลุ่มอาเชี่ยนซึ่งการรวมกลุ่มแบบนี้เราควรรวมกลุ่มแบบนี้ควรที่จะรวมกับประเทศอินเดียและจีนจะเป็นโอกาสที่ดีแก่ประเทศไทย และถ้ารวมกันได้แล้วเราก็ควรจะให้มีเงินสกุลเดียวคือสกุลเอเชีย(Asian Money) การรวมกลุ่มแบบEthical Standard เป็นกรอบธรรมาภิบาล ประเทศที่มีธรรมาภิบาลสูงสุดที่ได้รับรางวัลคือ ประเทศ ฟินแลนด์ นอรเวร์ สวีเดน ส่วนในเอเชียคือประเทศสิงค์โปร์ ส่วนประเทศไทยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 4 ปีข้างหน้า OECD เพราะเป็นการยกมาตรฐานทางด้านจริยธรรมหรือธรรมาภิบาลและAccountability เช่นประเทศญี่ปุ่น เขาจะแสดงความรับผิดชอบของนักรบญี่ปุ่นที่คว้านท้องตนเองต่อหน้าจักรพรรดิ์ และถ้าธนาคารในต่างประเทศเขาทำผิดต่อลูกค้าเขาจะแสดงความรับผิดชอบโดยประธานธนาคารจะออกมากล่าวขอโทษส่วนของประเทศไทย ถ้าเป็นปรานธนาคารเมื่อทำผิดคงจะไม่มีใครมาแสดงความรับผิดชอบระบบราชการในอุดมคติควรที่จะ
1. สนองความต้องการและประโยชน์สุขของประชาชน
2. บริหารงานมุ่งผลสัมฤทธิ์
3. ประสิทธิภาพประสิทธิผล
4. เน้นหลักคุ้มค่า ทันสมัย
5. เที่ยงธรรมและรับผิดชอบ
6. ยืนหยัดในความถูกต้อง
7. ประชาชนมีส่วนร่วม
8. สุจริต โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
การบ้านครั้งที่ 12
Workforce Alignment in an Organization
เรื่องของ Enterprise Governance แบ่งเป็น
(1) Corporate Governance เป็นกระบวนการ Conformance เช่น การมีตัวแทนจากภายนอกที่นำความรู้และประสบการณ์มาช่วยกำหนดทิศทางองค์กรทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ และ
(2) Business Governance เป็นกระบวนการ Performance โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และเป็นการสร้าง Value Creation ให้แก่องค์กร
ในส่วนกลยุทธ์ องค์กรอาจนำ Five-Force Model มาวิเคราะห์คู่แข่งขัน SWOT Analysis มาวิเคราะห์ตนเอง และค้นหา Critical Success Factors ถ้าองค์กรไม่มีก็อาจจะสร้างหรือซื้อให้เกิดขึ้นในองค์กรก็ได้ จากนั้นปรับ Tactic ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา โดยกลยุทธ์ขององค์กรแบ่งได้ 3 ระดับคือ
(1) Departmental Strategy
(2) Strategic Business Unit (SBU) / Division Strategy
(3) Corporate Strategyแนวคิดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของ Thomas-Kilmann ประกอบด้วย 5 แบบคือ
(1) Confronting: แบบยืนยันรักษาผลประโยชน์ของตน โดยไม่ให้ความร่วมมือ มุ่งชัยชนะของตนโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์หรือความสูญเสียของผู้อื่น อาศัยอำนาจหน้าที่ของตนคุกคาม ข่มขู่ เพื่อจะให้ตนได้ผลประโยชน์และได้ชัยชนะในที่สุด
(2) Avoiding: แบบไม่ยืนยันรักษาผลประโยชน์ของตน ในขณะเดียวกันก็ไม่ให้ความร่วมมือ แต่จะพยายามหลีกเลี่ยงปัญหา ไม่สนใจความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทำตัวอยู่เหนือความขัดแย้งโดยเชื่อว่าความขัดแย้งจะลดลงเมื่อเวลาผ่านเลยไป
(3) Accommodating: แบบไม่ยืนยันรักษาผลประโยชน์ของตน แต่จะให้ความร่วมมือ ยอมตามความต้องการของผู้อื่น แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม ชอบเป็นผู้เสียสละเพื่อลดความขัดแย้ง
(4) Compromising: แบบยืนยันรักษาผลประโยชน์ของตน ขณะเดียวกันก็ให้ความร่วมมือที่จะแก้ปัญหา โดยใช้วิธีการเจรจาต่อรองเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์หรือเกิดความพึงพอใจบ้าง ในลักษณะพบกันครึ่งทาง และ
(5) Collaborative: แบบรักษาผลประโยชน์ของตน และให้ความร่วมมือในระดับสูง โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันแก้ปัญหา เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจอย่างเต็มที่ ใช้วิธีการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของทั้งสองฝ่าย เพื่อจะหาทางเลือกที่เหมาะสม
Workforce Alignment Model for Successful Strategy Execution แบ่งเป็น
(1) Aligned Goals ถ้าองค์กรขาด Aligned Goals ทำให้คนในองค์กรขาดทิศทาง
(2) Business Acumen/Skills ถ้าองค์กรขาด KUSA (Knowledge, Understanding, Skills และ Attribute) ก็จะพึ่งพาคนอื่นตกอยู่ภายใต้การชักนำของคนอื่น
(3) Measured Accountabilities ถ้าองค์กรขาด Measured Accountabilities คนในองค์กรก็ไม่สามารถเติบโตได้เนื่องจากไม่มีการวัดผลงาน
(4) Linked Rewards ถ้าองค์กรขาด Linked Rewards คนในองค์กรก็จะขาดแรงกระตุ้น และ
(5) Ownership Thinking: รู้สึกถึงความเป็นเจ้าขององค์กร ถ้าองค์กรขาด Ownership Thinking คนในองค์กรก็จะทำงานเช้าชามเย็นชามไม่กระตือรือร้น
การบ้านครั้งที่ 13
ทุนมนุษย์ในมุมมองต่าง ๆ ทุนมนุษย์กว่าจะได้มา ต้องมีการลงทุนก่อน(Investment) มนุษย์มีทุนติดตัวมาตั้งแต่เกิดที่ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่แต่ละคนจะมีความสามารถในการจัดการให้ทุนในแต่ละด้านเพิ่มขึ้นได้แตกต่างกัน การเรียนรู้จึงสำคัญที่วิธีการเรียนรู้เพื่อให้ได้คุณภาพมิใช่ปริมาณ รู้จริงดีกว่ารู้เยอะ คือต้องเรียนรู้ตามหลักของทฤษฎี 4 L’s และ ต้องมี Happiness(มีความสุข) Respect(ยกย่องมนุษย์) Dignity (ให้เกียรติ มีศักดิ์ศรี) Sustainable (มีความยั่งยืน)ภาวะผู้นำในยุคที่โลกเปลี่ยนย่อมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพราะองค์กรยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูงก็ต้องการผู้นำที่ไม่ใช่ผู้จัดการเท่านั้นซึ่งปัจจุบันพบว่ากำลังประสบปัญหาการขาดแคลนผู้นำในอุดมคติการเป็นผู้นำนั้นเป็นได้ไม่ยาก แต่การที่จะเป็นผู้นำที่ดีให้ได้นั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลปของการบังคับบัญชา ภาวะผู้นำ(Leadership) ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือภาครัฐจำเป็นต้องมีความรู้บางอย่างในทุกอย่าง (Know Something in Everything) หรือรู้ทุกอย่างในบางอย่าง (Know Everything in Something) เพราะบางครั้งการเป็นผู้นำที่มองด้านเดียวอาจเกิดปัญหาได้ ใครจะคาดคิดว่าอยู่ดี ๆประเทศไทยที่ประกาศอยู่เสมอว่าเป็นประเทศเสรี มีประชาธิปไตย กลับต้องเกิดการปฏิวัติโดยทหาร นี่ก็แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเกิดจากปัญหาของผู้นำระดับประเทศที่ขาดในเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมในความเป็นผู้นำการจะเป็นผู้นำที่ดีก็ต้องมีการฝึกฝน การพัฒนาต่อยอดเช่นกัน ซึ่งมีทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำมากมายเช่น Jack Welch ,Michael Hammer ,Posner and Kouzea หรือ8 K’s ของศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์และ 8 H’sของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม ความเชื่อของประเทศทางตะวันตกและตะวันออกการเป็นผู้นำที่ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำจะต้องมีทุนมนุษย์ทั้ง 8 ประการ ตั้งแต่ทุนที่มีมาตั้งแต่เกิด ทุนทางปัญญา ทุนทางจริยธรรม ทุนแห่งความสุข ทุนทางสังคม ทุนแห่งความยั่งยืน ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และทุนทางด้านความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ ความคิด เพราะจะเป็นสิ่งที่ช่วยในการผลักดันให้เกิดการบริหารประเทศ บริหารองค์กร บริหารสังคมและชุมชน ที่มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งแนวคิดเรื่อง Leadership Challenge ของ Posner และ Kouzes
1. ผู้นำต้องเป็นแม่แบบที่เป็นตัวอย่างที่ดี
วิธีคือ - พูดถึงคุณค่า (Value) ของตัวเองให้ชัดคืออะไรและ ปฏิบัติตามที่กำหนดคุณค่านั้น ๆ
2. จุดประกายการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน
วิธีคือ - มองอนาคตว่าคืออะไรและแสวงหาความเป็นไปได้และนำคนอื่นที่มีวิสัยทัศน์ร่วมมาทำงานร่วมกัน
3. ท้าทายสิ่งที่เป็นอยู่ – อย่ายอมรับสภาพเดิม ๆ
วิธีคือ – สร้างวัฒนธรรมการมีนวัตกรรมใหม่ ๆ มีการแสวงหาทางออกใหม่ บริหารความเสี่ยงและ ชนะเล็ก ๆ เพื่อชนะใหญ่ ๆ
4. ดึงความเป็นเลิศของผู้อื่นให้ร่วมงาน
วิธีคือ – แสวงหาความร่วมมือ (Collaboration) และ พัฒนาจุดแข็งของคนอื่น มีกระจายอำนาจให้ผู้อื่น
5. แสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่น
วิธีคือ - ยอมรับความสำเร็จ หรือ Contribution ของผู้อื่น และยกย่องผู้อื่นอย่างจริงใจ และ หาโอกาสแสดงและฉลองความสำเร็จ โดยให้เป็นความสำเร็จของชุมชนของพวกเรา
ต่อเนื่องจากข้างต้น
หลักทฤษฎี 4L’s เพื่อที่จะมาประชุมแผนปฏิบัติการอย่างเป็นทางการอีกครั้งและที่ภูมิใจคือที่ประชุมมีการถามว่าที่ผมเสนอและผ่านการยอมรับนั้นเป็นแนวคิดของนักคิดฝรั่งชื่ออะไรผมตอบที่ประชุมว่าท่านที่เป็นเจ้าของทฤษฎีไม่ได้เป็นฝรั่งแต่เป็นคนไทยและเป็นอาจารย์ของผมเองท่านชื่อ ศ.ด.ร.จีระ หงส์ลดารมภ์ นี่ก็เป็นความภูมิใจของผมที่ผมได้รับแนวคิดจากการถ่ายทอดของอาจารย์ และที่ประชุมได้ให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องอื่นนำหลักการ 4L’s ไปใช้ในการทำงานร่วมกับชุมชนโดยให้ใช้หลักการตามทฤษฎีเพราะเห็นว่าเป็นการคิดที่เป็นระบบและมีคำตอบอย่างชัดเจนในตัวของตัวเอง ปัญหาอย่างหนึ่งในระดับท้องถิ่น ศักยภาพในการพัฒนาเกิดจากการรวมกันของพลังความคิดความร่วมมือบวกกับงบประมาณที่ลงไปในท้องถิ่นจะเห็นได้ว่าทำไมบางท้องถิ่น คนมี งบประมาณมี แต่การพัฒนาไม่เท่าที่ควรนั่นเป็นเพราะขาดความรู้อย่างเข้าถึงในการพัฒนาคือมีปัจจัยเอื้ออำนวยแต่ไม่สามารถพัฒนาได้ตามที่ควรจะเป็นต่างกับบางแห่งที่ขาดทั้งคนทั้งงบประมาณแต่มีแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวหน้าตรงนี้ต้องย้อนกลับมามองบุคลากร ผู้นำ ประชาชนในพื้นที่ การจะพัฒนาคนต้องพัฒนาคนให้มีความคิด คือการคิดที่เป็นระบบ ใช้ความคิดในเชิงสร้างสรรค์นำสู่การปฏิบัติจริง และทำงานเหล่านั้นให้ประสบความสำเร็จ รู้จักการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้เป็นความรู้เหมือนผักสดไม่ใช่ผักเน่า และทำให้การคิดเพื่อสร้างสรรค์นั้นเกิดมูลค่าเพิ่มให้ได้โดยเริ่มต้นที่การคิดเชิงบวก คิดที่จะเป็นผู้ให้และสรรค์สร้างสังคม และการจะทำงานให้ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านใดใดก็ตามหากแต่ต้องอาศัยความตั้งใจจริง ต่อเนื่อง รู้อะไรรู้ให้จริง วิธีการคิดอย่าให้เป็นวิธีการคิดแบบเดิมๆหรือยึดติดในความสำเร็จในระดับเท่าเดิม ต้องมีคนที่มีเป้าหมายคล้ายๆกัน ทำงานกันเป็นทีมและที่สำคัญคือต้องคิดอย่างเป็นระบบ ในส่วนตัวผมเองแล้วมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการพํฒนาในระดับท้องถิ่นของไทยต้องไปได้อีกมากหากแต่คนในสังคมช่วยกันทางความคิดร่วมมือกันโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชนดึงศักยภาพจุดแข็งของแต่ละพื้นที่ดึงจุดแข็งของบุคคลดึงจุดแข็งของทรัยากรมนุษย์และช่วยกันผลักดันโดยเริ่มต้นจากจุดเล็กๆในระดับMICROหลายๆจุดเชื่อมต่อกันไปสู่ MACROกอรปกับต้องใช้แนวทางการคิดอย่างเป็นระบบ มีหลักการคิด ประยุกต์ใช้ทฤษฎีอย่างเหมาะสมให้เหมาะกับสถานการณ์และพื้นที่เชื่อได้ว่าประเทศไทยจะพัฒนาอย่างมีทิศทางและเดินไปในแนวทางที่เป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน ท้ายนี้ต้องขอกราบขอบคุณท่านอาจารย์ ศ.ด.ร.จีระ หงส์ลดารมภ์ เป็นอย่างสูงที่ผม นายสรณิต พุ่มพฤกษ์ ได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์และได้รับคำแนะนำด้วยความปรารถนาดีมาโดยตลอดและไม่ว่าจะอยู่ที่ใดๆในสังคมนี้จะระลึกถึงที่ท่านอาจารย์เคยสอนพวกเราตลอดเวลาว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้อง รู้อะไรรู้ให้จริง ลงมือทำ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง ขอเป็นกำลังใจให้ท่านอาจารย์ทำงานเพื่อสังคมประเทศชาติบ้านเมืองให้สมดังปณิธานของท่านที่มุ่งหวังเพื่อที่จะสร้างคนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของชาติบ้านเมืองต่อไป นายสรณิต พุ่มพฤกษ์สวัสดีครับ
ผมขอขอบคุณที่ทุกคนเอาใจใส่ และตอบรับเป็นอย่างดี อาทิตย์นี้ผมไม่สะดวกที่จะเข้ามาสอนเอง แต่จะมีผู้ทรงคุณวุฒิ อีก 2 ท่าน มาสอนแทน และผมจะขอนัดพวกเราไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ที่เกาะล้าน พัทยา เพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมทำกับนักศึกษามาทุกรุ่น สำหรับวันและเวลาที่แน่นอน จะขอนัดอีกครั้งหนึ่ง
จีระ หงส์ลดารมภ์
- อยากทราบว่า "ทุนทางสังคมกับทุนทางวัฒนธรรม" เป็นสิ่งที่สามารถเป็นจริง หรือนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงในสังคมไทยได้หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด
- หากนำไปใช้จริงต้องมีการสร้างเสริมในปัจจัยใดบ้างเพราะเหตุใด ค่ะ
*****
ขอบคุณค่ะ
เรียน อจ.ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ทางคุณอิ๋วช่วยจัดนัดหมายให้รุ่น 2 และรุ่น 3 พบปะกันตามรายละเอียดข้างล่างนี้ครับ
ด้วยความเคารพ
ธนพล
Mobile 081-840-6444
Dear Khun Aew
Thank you and confirm krab.
Best regards,
Tanapol Kortana
Group Chief Marketing Officer
Mobile +6681-840-6444
เรียน นักศึกษารุ่น 2 และรุ่น 3 ทุกท่าน
ด้วยทางโครงการ ฯ ขอประสานงานเรื่องพบปะนักศึกษารุ่น 2 และร่น 3 ซึ่งนักศึกษารุ่น 3 มีความประสงค์ขอพบปะนักศึกษารุ่น 2 เพื่อทำความรู้จัก แนะนำ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียน การทำงาน
ดังนั้นทางโครงการ ฯ ขอกำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการพบปะของนักศึกษา ในวันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม 2552 เวลา 14.00 น. ณ ห้องเรียน 2153 อาคารศรีจุฑาภา ชั้น 5 (เนื่องจากนักศึกษาทั้ง 2 รุ่น มีการเรียนในเวลา 17.00 น. เหมือนกัน)
จึงขอเรียนเชิญมา ตามวัน เวลา และสถานที่ ดังกล่าว
ขอบพระคุณค่ะ
ด้วยความเคารพ
อิ๋ว
ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนา“ปัจจัยท้าทายประเทศไทยปี 2553 อยู่รอดหรือยั่งยืน?”
วันที่ 8 ธันวาคม 2552
ณ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด แคมปัสพระรามเก้า
มีรายละเอียดในลิ้งค์นี้