การดูแลสตรีตั้งครรภ์และติดเชื้อไวรัสเอดส์ที่เจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
นพ.สันทิต บุณยะส่ง พบ. วว.สูตินรีเวชกรรม
ศูนย์อนามัยที่ 1 กรมอนามัย
ในปัจจุบันมีโครงการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสมีโอกาส ได้รับยาต้านไวรัสทั้งในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอดส์จากมารดาสู่ทารก และเพื่อการรักษาในกรณีมีภูมิคุ้มกันต่ำ (CD4 น้อยกว่า 200 cell/mm3) ทำให้สตรีที่ติดเชื้อไวรัสเอด์จึงมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์และกำเนิดบุตรที่แข็งแรง และไม่ติดเชื้อไวรัสเอดส์จากมารดามากขึ้น อย่างไรก็ตามโอกาสที่สตรีเหล่านี้จะมีภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์ก็ยังคงเหมือนกับสตรีทั่วไป เช่นกัน ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดและอาจมีปัญหากับการให้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากมารดาสู่ทารกได้แก่ การเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด โดยทั่วไปแล้วการให้การดูแลรักษาสตรีเหล่านี้จะเหมือนกับสตรีตั้งครรภ์ที่ไม่ติดเชื้อเอดส์ทั่วไป แต่อาจมีข้อปลีกย่อยเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการให้ยาต้านไวรัสดังนี้ หากผู้ป่วยจะดำเนินการคลอดต่อไป อาจเนื่องจากอายุครรภ์ที่มากพอที่สถานพยาบาลที่ให้การดูแลรักษาสามารถดูแลทารกก่อนกำหนดแรกคลอดได้ หรือเป็นเพราะการดำเนินการคลอดอยู่ในช่วงที่ไม่สามารถยับยั้งการคลอดได้ หรือเพราะมีข้อห้ามในการให้ยายับยั้งการเจ็บครรภ์ทำให้ไม่ได้ให้ยายับยั้งการแข็งตัวของมดลูก(Tocolytic drug) พิจารณาให้ยา Nevirapine( NVP) 200mg 1 เม็ดเพียงครั้งเดียว และ zidovudine (AZT) 300 mg. ทุก 3 ชั่วโมงจนกระทั่งทารกคลอด และในทารกแรกเกิดให้ NVP Syrup 2 mg./kg. ครั้งเดียวทันทีที่ทารกสามารถรับประทานยาน้ำได้พร้อมกับ AZT syrup 2mg/kg. ทุก 6 ชั่วโมง ในทุกกรณีไม่ว่ามารดาจะได้ยาต้านไวรัสแบบใดก็ตาม เช่น ถ้ามารดาได้ NVP ครั้งเดียวก่อนคลอด หรือได้ NVP จากยาสูตร GPOvir ขององค์การเภสัชที่กินติดต่อกันขณะตั้งครรภ์ก็ตาม แต่หากทารกมีอายุเกิน 72 ชั่วโมงแล้วงดให้ NVP เพราะไม่มีประโยชน์ในการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไวรัสเอดส์จากมารดาสู่ทารก 1 แต่ยังคงให้ AZT syrup เหมือนปกติ แต่เดิมสาเหตุที่เริ่มให้ยา NVP เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อ HIV จากมารดาสู่ทารกหลังทารกคลอดแล้ว 48 ชั่วโมงแก่ทารกที่มารดาได้รับ NVP นานเกิน 2 ชั่วโมงเนื่องจากเกรงว่าจะมีระดับยาNVP ในทารกสู่มากเกินขนาด หากให้ยา NVP แก่ทารกหลังคลอดทันที ซึ่งทารกจะเสี่ยงต่อการมีภาวะตับอักเสบ และการแพ้ยา NVP แต่การรอเวลาให้ทารกอายุ 48 ชั่วโมง อาจทำให้ระดับยา NVP ในกระแสเลือดทารกลดต่ำลงกว่าระดับที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเอดส์ได้เนื่องจากทารกมีอัตราการขับถ่ายNVPได้รวดเร็วกว่าผู้ใหญ่ ในทารกที่มารดาได้รับยา NVP อย่างต่อเนื่องก่อนคลอด เช่น ได้ GPOvir ในระหว่างตั้งครรภ์ตับของทารกจะมีโอกาสปรับตัวในการสร้างเอ็นไซม์ในการขับ NVP ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดภาวะพิษก็จะน้อยลงการให้ยาแก่ทารกทันที่ที่คลอดจึงอาจเป็นทางเลือกที่ไม่เสี่ยงกับภาวะพิษจาก NVP นอกจากนี้มารดาอาจพาทารกกลับก่อนบ้านก่อนได้รับยา หรือการให้ยา NVP มารดาไปป้อนที่บ้านทารกก็อาจได้ยาไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้อง ดังนั้นบุคคลากรสาธารณสุขผู้ดูแลต้องพิจารณาข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ด้วยในการตัดสินใจให้ยาทันทีหรือรอจนอายุ 48 สัปดาห์ การให้ยา NVP แก่ทารกหลังคลอดนานเกิน 72 ชั่วโมงพบว่าไม่มีผลต่อการลดจำนวนทารกที่ติดเชื้อ HIV จากมารดาสู่ทารกหากผู้ป่วยได้รับการยับยั้งการคลอดด้วยยา Tocolytic drug เมื่อเริ่มต้นให้ยาให้ประเมินการดำเนินการคลอดหลังให้ยา 1/2-1 ชั่วโมง ถ้าไม่มีการก้าวหน้าของการคลอดและการแข็งตัวของมดลูกลดลง อาจพิจารณาไม่ให้ทั้ง AZT และ NVP หรือให้เฉพาะ AZT(300 mg) ทุก 3 ชั่วโมง จนกระทั่งสามารถหยุดการดำเนินการคลอดได้แล้วจึงเปลี่ยน AZT มาเป็นทุก 12 ชั่วโมง ถ้าหลังจากประเมิน ½-1 ชั่วโมงแล้วไม่สามารถยับยั่งการเจ็บครรภ์ได้ ให้ดำเนินการรักษาแบบไม่ได้ยา Tocolytic คือ พิจารณาให้ยา NVP (200mg) 1 cap เพียงครั้งเดียว และ AZT (300mg) ทุก 3 ชั่วโมงจนกระทั่งคลอดและให้ยา NVP syrup 2 mg/Kg ทุก 6 ชั่วโมงการให้ยา Dexamethasone เพื่อเพิ่มการเจริญของปอดทารก ในมารดาติดเชื้อ HIV ที่เจ็บครรภ์ก่อนกำหนด สามารถให้ได้เหมือนมารดาที่ไม่ติดเชื้อ เนื่อจากการให้ Dexamethasone ให้เพียงระยะสั้นๆ โดยให้ 12 mg. เข้ากล้าม ทุก 12 ชั่วโมงเพียง 2 dose จึงยังไม่มีการกดภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้การให้ Dexamethasone ก็อาจได้ผลดีในเรื่องการรักษาอาการ HIV Wasting Syndrome ซึ่งพบได้ 70 % ในผู้ติดเชื้อ HIV ทั้งที่ได้ยา ARVและไม่ได้2,3 นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์ในการทำให้อาการอ่อนเพลียในผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งพบได้ประมาณ 84% ดีขึ้น 4-7
ไม่มีความเห็น