8วิธีจัดการกับอารมณ์เหนื่อยเพลีย


8วิธีจัดการกับอารมณ์เหนื่อยเพลีย

มีบ้างไหมที่คุณรู้สึกเหนื่อยเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจเสียเต็มประดา จนไม่อยากลุกขึ้นทำอะไร อยากนอนอยู่กับที่เฉย เผื่อจะหายเหนื่อยข้นมาบ้าง เหนื่อยแบบนี้ไม่ได้เหนื่อยเหมือนกับการวิ่งหรือการออกกำลังกายมาใหม่ๆ แต่หมายถึงอารมณ์เพลียละเหี่ยใจไม่มีแรงทำอะไรสักอย่าง พอถึงวันหยุดก็จมอยู่กับที่นอนทั้งวันจนดูเหมือนคนขี้เกียจ แถมให้คิดอะไรก็คิดไม่ค่อยจะออกเสียด้วย กลายเป็นคนคิดช้า ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนที่เคยเป็น

                เชื่อไหมว่าในโลกนี้มีคนที่กำลังมีอาการแบบนี้อยู่อีกเป็นล้านๆคนจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาหรอกครับ เพราะลองคิดดูว่าถ้ามีคนมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียละเหี่ยใจตลอดเวลาแบบนี้เยอะขนาดนั้น  แล้วองค์กรหรืองานที่คนเหล่านี้ทำอยู่จะเคลื่อนตัวไปได้ช้าเพียงใด ยิ่งหากมองภาพรวมในระดับประเทศชาติยิ่งแล้วใหญ่  การพัฒนาศักยภาพแขนงต่างๆอะไรต่อมิอะไรคงเป็นไปได้ช้าพิลึก

                ในทางการแพทย์มองว่าอาการอ่อนเพลียของคนเราที่เกิดขึ้นเสมอๆนี้  ถือเป็นความผิดปกติของร่างกายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา  สาเหตุของความเหนื่อยอ่อนแบบนี้คงจะตอบได้ยากว่าเกิดจากอะไรกันแน่นเพราะแต่ละคนล้วนมีปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมักมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยไม่สบาย การอดนอน ความเครียด คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การทำงานมากเกินไป การรับประทานยาประจำตัว หรือไม่ก็อารมณ์ที่กำลังซึมเศร้าจากแรงกดดันรอบๆตัว ยิ่งอยู่ในสังคมเมืองใหญ่ที่เรามักจะใช้พลังงานกันเกินพิกัด เวลาควรนอนไม่นอน เวลาควรกินไม่กิน เพราะทำงานเกินเวลา หรือพวกที่นิยมการปาร์ตี้สังสรรค์ดึกดื่นข้ามคืนข้ามวัน พอตื่นขึ้นมาก็ลุกไม่ไหว เรียกว่าปาร์ตี้กันเกินเวลา พาให้การงานเสียก็มีอยู่ไม่น้อย พอได้สติขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรเสียแล้ว

                อาการเหนื่อยๆเพลียๆนี้อาจรักษาได้ด้วยยาบางอย่าง เช่น ยาระงับประสาท หรือยานอนหลับ กินให้คลายเครียดนอนหลับสนิท ตื่นมาจะได้มีเรี่ยวแรง แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ก็อย่างที่พอรู้ๆกันอยู่ ถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลเสียต่อสุขภาพประสาทแน่ๆ ทางที่ดีคือการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเสียใหม่น่าจะให้ผลที่ดีในระยะยาวกับตัวคุณมากกว่า ลองพิจารณา 8 วิธีที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ แล้วนำไปปฏิบัติตามดู คุณอาจจะหยุดความอ่อนเพลียละเหี่ยใจกลับมาเป็นคนใหม่ได้ในเวลาไม่ช้าครับ

                1.ไปตรวจสุขภาพ ลองนึกๆดูว่าที่คุณรู้สึกเหนื่อยๆนั้น เป็นเพราะเกิดจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า ปวดเมื่อยเนื้อตัว งงๆลอยๆ จำอะไรไม่ค่อยได้หรือซึมเศร้า บางทีอาจมาจากโรคที่ทำให้ร่างกายผิดปกติ หรือบางครั้งยาที่เรากินเข้าไปก็มีผลทำให้ร่างกายเราอ่อนเพลียได้ เช่นยาที่มีผลต่อระดันฮอร์โมนในร่างกาย ยาแก้แพ้ หรือยารักษาอาการติดเชื้อบางประเภท ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่าง ยาระงับประสาทบางตัว อาจทำให้คนกินรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งคุณควรของคำปรึกษาเพิ่มเติมจากคุณหมอในเรื่องนี้ดูว่ามีวิธีไหนหลีกเลี่ยงได้บ้าง

                2.ให้ความสำคัญกับการหลับเพิ่มขึ้น ในวันหนึ่งๆคุณควรนอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากคุณนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นประจำ ลองนึกดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อการนอนของคุณบ้าง เช่น ชอบเปิดไฟนอน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือก่อนนอนเป็นนิสัย การทำแบบนี้มักจะเป็นการรบกวนการนอนของคุณโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรยกกิจกรรมเหล่านี้ไปทำที่อื่น แล้วก่อนนอนควรทำอะไรที่จิตใจคุณสงบนิ่ง สบาย เช่น อาบน้ำให้สะอาด หรือทำสมาธิสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น แล้วเมื่อถึงเวลานอนให้ตรงเข้าไปในห้องนอนเพื่อเข้านอนเพียงอย่างเดียว อ้อ...ควรงดการดื่มกาแฟ หรือการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน                                                                                  

                   3.กินอาหารเพียงพอต่อธรรมชาติที่ร่างกายต้องการ นอกจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในปริมาณที่สมดุลแล้ว ยังจำเป็นต้องกินอาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่เพียงพอด้วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีกำลังวังชา ไม่กินมากไปจนทำให้ร่างกายอ้วนจนเดินไม่ไหว หรือกินน้อยไปจนกลายเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย เลือกกินให้พอดีๆ ทั้งข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องไปเสียเงินค่าอาหารเสริมต่างๆทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น

                4.ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วขึ้นไป เราพอจะรู้อยู่ว่าการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น แต่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่าการดื่มน้ำก็ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วยเหมือนกัน เพราะเวลาที่ร่างกายไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ โดยธรรมชาติจะปรับตัวทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะได้น้ำมาในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้กลายเป็นพลังงาน คล้ายๆกับรถที่ขาดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้เวลาที่คุณต้องออกแรงหรือใช้ความคิดมากๆ จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง การได้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผักคั้นสดๆ สัก 1-2 แก้วจะช่วยให้คุณรู้สึกแช่มชื่นอย่างเห็นผล เพราะน้ำตาลธรรมชาติและวิตามินซีในน้ำผัก/ผลไม้ จะเข้าไปทดแทนส่วนที่ถูกใช้ไปได้เป็นอย่างดี และหากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนจะดีกว่า

                5.กินอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออกเป็นแต่ละมื้อย่อยๆปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ คุณลองสังเกตดูเวลาเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆจนอิ่มแปล้นั้น มักจะตามด้วยอาการง่วงเหงาเงื่องหงอยในอีกนาทีต่อมาเสมอครับ นั่นเพราะร่างกายใช้พลังงานไปกับการย่อยอาหารจนหมด ดังนั้นการกินอาหารในแต่ละมื้อน้อยๆ จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานแต่พอดีๆ แต่ยังช่วยให้ร่างกายคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย แถมจะช่วยให้การเผงผลาญอาหารทำได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

                6.หายใจลึกๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออกติดต่อกับสักประมาณ 2 นาที จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากอาการเหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล เศร้าใจ เสียใจ หรือโกรธต่างๆได้มาก ซึ่งช่วยให้จิตใจคุณสงบ สบายขึ้น คุณอาจตั้งสติจดจ่อกับการหายใจแบบนี้ในเวลาที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆอยู่คนเดียว เช่น ตอนที่รถติดๆบนถนน ขณะเดินเล่น หรือแม้กระทั้งเวลาซักผ้า ล้างจาน จะช่วยให้จิตใจคุณมีสมาธิดีขึ้นด้วย

                7.ออกกำลังกายให้มากขึ้น และทำอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเอ็นโดฟินส์ขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสารนี้ให้ความรู้สึกเป็นสุข ช่วยคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้ชะงัด และยังช่วยให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานที่เผาผลาญมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ขนาดที่เหมาะคือการออกกำลังกายหนักปานกลางอย่างน้อยประมาณ 30 นาที อย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่นานๆจะมีโอกาสออกกำลังกายสักที ควรตั้งต้นเสียใหม่ยังไม่สายเกินไป ด้วยการเริ่มออกกำลังกายจากทีละน้อยๆช้าๆก่อน เช่น การเดินรอบๆบ้าน แล้วค่อยๆเพิ่มระยะทาง ความหนักทีละนิดๆ เช่น เปลี่ยนเป็นวิ่งระยะใกล้ๆ แล้วค่อยเพิ่มระยะทางขึ้น เลือกการออกกำลังกายแบบใดก็ได้ที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินไปจนทนไม่ไหวเสียก่อน เมื่อคุณได้ใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายแล้ว จะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิท ความรู้สึกนึกคิดก็จะแจ่มใสกว่าเดิม

                8.อยู่กับปัจุบันให้ได้ มีคนกล่าวไว้ว่าหากแบ่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตเป็น 100 ส่วน ประมาณ 35 ส่วนจะถูกใช้ไปกับการคิดถึงอดีต 35 ส่วนจะใช้ไปกับการคิดถึงอนาคต ที่เหลือเพียง 30 ส่วนจึงจะใช้ไปในการคิดถึงปัจจุบัน ฟังแล้วเห็นภาพว่าทำไมเรารู้สึกเหนื่อยกับเรื่องบางเรื่องที่มันผ่านไปแล้วและเราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือเหนื่อยกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเสียเหลือเกิน ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ การอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นได้ การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันทำให้คุณมีสติอยู่ทุกขณะจิต มองโลก มองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความจริงจะช่วยให้คุณตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้อย่างดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลังไม่ลนลาน ร้อนรน ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนรอบข้างได้     

                อ่านจนครบ 8 วิธีแล้ว หวังว่าใครที่มักรู้สึกเพลียใจอยู่จนเป็นกิจวัตรน่าจะปรับตัวให้ดีขึ้นนะครับ แถมท้ายอีกหน่อยด้วยวิธีแก้เครียด และกลัว ซึ่งมีที่มาเหตุการณ์ต่างๆที่คุณประสบพบเจอ ปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาชีวิต ความคิด ความทรงจำ หรือแม้ผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนก่อความเคียดให้คุณได้ไม่มากก็น้อย นำมาซึ้งอาการข้างเคียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ปวดคอ ปวดตึงที่กล้ามเนื้อไหล่ เหงื่อออกมาก ใจเต้นแรงเป็นต้น วิธีการคลายเคียดที่เราอยากแนะไว้ตรงนี้ โดยการ…..

·        กินอาหารให้ถูกสัดส่วน  พร้อมกับหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างที่พูดถึงไปแล้วข้างต้น

·        อย่าเก็บปัญหาที่คุณกำลังเคียดอัดอั้นไว้กับตัว ลองทำใจปลดปล่อยมันออกมาด้วยการเล่าให้เพื่อนสนิทที่คุณไว้ใจสักคนฟัง ปรึกษากับเพื่อนถึงปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่  การปลดปล่อยจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น แล้วสติปัญญาแจ่มใสคิดแก้ไขสถานการณ์ก็จะเกิดตามมา ไม่เชื่อลองดู

·        ผ่อนคลายจิตใจด้วยการหัวเราะเสียบ้าง การอยู่ท่ามกลางคนอารมณ์ดีจะช่วยคุณได้มากในเรื่องนี้ จะทำให้คุณคลายเคียดได้ชะงัด ความคิดจะกับมาแจ่มใส พร้อมหันหน้าสู้ปัญหาอย่างมีสติ

·        ให้เวลากับกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำงานบ้านฯลฯ จะเป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดได้ดีอีกวิธีหนึ่ง ทั้งยังทำให้คุณมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากปัญหาเดิมๆเหล่านั้นด้วย เผลอๆจะช่วยคุณมีทางออกให้กับปัญหาแบบไม่รู้ตัว

·        ที่สำคัญที่สุดอย่างที่กล่าวไปแล้วคือ การอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด

จาก healthtoday ปีที่4 ฉบับที่40 เดือนกรกฎาคม 2547 เมื่อ 26 ส.ค. 47

หมายเลขบันทึก: 117301เขียนเมื่อ 6 สิงหาคม 2007 13:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท