เธอเป็นสาวเมืองกรุง เป็นนักศึกษาแพทย์หญิงที่ตัวสูงที่สุดในรุ่น ในขณะที่ตนเองตัวเล็กที่สุด ในช่วงเรียนแพทย์ 6 ปี ไม่ได้สนิทกับเธอมากนักเพราะตนเองอยู่ในก๊วนเด็ก (บ้าน) นอก แต่เห็นว่าเธอเป็นนักเรียนที่ขยันมาก
หลังจากจบแพทย์ เธอสมัครเป็นอาจารย์ภาควิชาวิสัญญี ส่วนตนเองสมัครเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา แล้วเราทั้งสองก็เลือกไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางที่เดียวกันที่ศิริราช
เราอยู่หอเดียวกัน และ อยู่ห้องใกล้กัน ณ เวลานั้นเอง ที่ทำให้เราทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมเธอมากขึ้น และรู้สึกว่า เธอเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี
จบจากเรียนแพทย์ที่ศิริราช เราทั้งคู่กลับมาปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ แล้วเราก็ได้พักที่หอปิ่นสงขลาชั้น 4 ห้องติดกัน
อาจารย์ใหม่ โสดและซิงทั้งคู่ เย็นๆ หลังเลิกงาน ไม่รู้จะทานข้าวกับใคร เราสองคนก็เลยไปทานข้าวด้วยกันเป็นประจำ จนทำให้เราสนิทสนมกันมากขึ้น
เธอเป็นอาจารย์ใหม่ ไฟแรง หลังจากกลับมาเป็นอาจารย์ 2-3 ปี ก็ไปเรียนต่อเมืองนอก ในด้าน pain management และ ฝังเข็ม หลังจากนั้น เธอก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดความเจ็บปวดและการฝังเข็มที่โดดเด่น
นอกจากนั้น เธอยังมีโอกาสเป็นผู้บริหารภาควิชา ตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 และ เป็นผู้ช่วยคณบดีฝ่ายหลังปริญญา
หลังครบวาระหัวหน้าภาคฯ เธอยังมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นคงทางวิชาการ โดยเมื่อปลายปีที่แล้ว เธอเรียนต่อด้าน palliative care ซึ่งเธอบอกว่า มีประโยชน์ทำให้การดูแลบำบัดความเจ็บปวดผู้ป่วยมะเร็งได้ดีขึ้น
ถึงแม้เราทั้งคู่จะมีภารกิจยุ่งเหยิง และไม่ได้พบกันบ่อยนัก (ตนเองย้ายออกจากหอพักหลังแต่งงาน) แต่ก็คิดถึงกันเสมอ
เมื่อ 2 เดือนก่อน เราทานข้าวเที่ยงกัน เธอก็เกริ่นๆ ว่าอาจจะไปจากที่นี่
และวันนั้นก็มาถึงเร็วกว่าคาด ตนเองเพิ่งรู้ว่าเธอจะลาออก เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ทราบว่าจะไปทำงานรพ.เอกชน และได้งานที่ตรงกับความเชี่ยวชาญ ตั้งใจว่าจะโทรไปหา และทานข้าวกับเธอก่อนเธอไป เพราะเธอจะสิ้นสุดการทำงานที่ มอ ในเดือนนี้
จนแล้ว จนรอด ไม่ได้ทำดังที่ตั้งใจ จนเมื่อวานหลังเลิกงาน จึงโทรหาเธอ “ว่างเมื่อไรหละ อยากทานข้าวด้วย เย็นนี้เลยได้ไหม” “ตอนนี้หรือ ว่างๆ ไปกันเลยนะ” “ดีๆ เดี๋ยวจะขับรถไปรับที่หอเลยนะ”
แล้วเราก็ไปทานข้าว คุยนู่นคุยนี่กันเกือบ 2 ชั่วโมง จนกระทั่งเพิ่งรู้ว่า เธอจะขึ้นเครื่องพรุ่งนี้ (หมายถึงวันนี้) และ นี่จึงเป็นอาหารเย็นมื้อสุดท้าย ที่อยู่ในรั้ว มอ. ในฐานะบุคลากรคนหนึ่งของ มอ.
ตนเอง ขอกอดเธอก่อนที่จะลงจากรถ บอกเธอว่าใจหายมากๆ พอออกรถไม่กี่นาที ก็ต้องปล่อยโฮเลย
เราอยู่ในรั้ว มอ. กันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์ 6 ปี ที่ศิริราชอีก 3 ปี และกลับมา มอ.ที่เดิมอีก 17 ปี ไม่ให้ปล่อยโฮได้อย่างไร
แสนเสียดาย และ อาลัย
แต่นั่น เป็นทางที่เพื่อนเลือก
ขอให้เพื่อนโชคดี และมีความสุขกับทางเลือกใหม่
รักเพื่อนเสมอนะ หมี... ผศ.พญ.ลักษมี ชาญเวชช์
ผมก็รู้สึกเหมือนอาจารย์ครับ เพิ่งรู้ข่าวเมื่อวาน ใจหาย
ชีวิตผมที่สิงคโปร์ ก็มีอาจารย์ลักษมีท่านหนึ่งล่ะครับ ที่เป็นผู้มีพระคุณ ท่านมอบซิมการ์ด บัตร Eazy card ให้ผม ชีวิตผมง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
เสียดายจริงๆ
อ่านแล้วน้ำตาซึมไปด้วยค่ะ อาจารย์ ความรู้สึกนี้หากไม่ได้บันทึกทันทีก็น่าเสียดายนะคะ อาจารย์ทำให้รู้สึกนึกถึงความรู้สึกของการจากลาแบบนี้ของตัวเองค่ะ
ขอบคุณอาจารย์ที่นำความรู้สึกซาบซึ้งประทับใจมาเผื่อแผ่กันนะคะ
อาจารย์ธนพันธ์ เสียดายมากๆ ค่ะ ถือว่าเราสูญเสียบุคลากรคนสำคัญมากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว
คุณโอ๋ คิดเหมือนคุณโอ๋ ความรู้สึกแบบนี้ หากไม่ได้บันทึกไว้ ก็น่าเสียดาย จึงเป็นที่มาของบันทึกนี้
อาจารย์คะ
มอ.สูญเสียบุคลากรไป 1 ท่าน แต่ท่านก็ทำประโยชน์เหมือนเดิม เพียงแต่เป็นอีกสถานที่หนึ่งค่ะ
ความรัก ความคิดถึง ความทรงจำ มันไม่เคยเปลี่ยนไปจากใจเราค่ะ
ซึมซับความรู้สึกสวยงามด้วยคนค่ะ
มีโอกาสอาจจะได้ไปกราบสวัสดีอาจารย์ช่วงก่อนวันแม่ที่ หาดใหญ่ค่ะ
คุณสมพร จะมาหาดใหญ่หรือคะ ดีใจจังที่ได้ยินข่าวนี้ หวังว่าจะได้เจอกันนะคะ
อาจารย์เล่าเรื่องได้ จนนึกภาพกับความรู้สึกออกเลยครับ มันออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ
ขอบคุณมาก อ่านแล้วก็ร้องไห้ด้วย ความจริงร้องมาหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ ก่อนจะตัดสินใจโอนย้าย จนเปลี่ยนใจเป็นลาออก งานเลี้ยงส่งของภาค ลาจากเจ้าหน้าที่ pain clinic
อายุจนป่านนี้ก็เพิ่งรู้ว่าการได้กอดคนที่เค้ามีความจริงใจกับเราและรักเรามากๆตอนจะจากกันนะมันซาบซึ้ง (ปนเศร้า) ขนาดไหน ไม่ใช่เห่อธรรมเนียมฝรั่งนะ
จริงอยู่ที่ไม่ได้อยู่ทำงานให้ม.อ. อีกแต่ก็ไปทำงานในด้านที่รักให้กับคนไข้ที่เมืองกทม.และยังอยากสอนให้กับผู้ที่เห็นว่าเรายังมีประโยชน์อยู่นะ ไม่ได้หายไปจากวงการซะหน่อย
รักเพื่อนเสมอ
หมี
ดีใจจังที่หมีเข้ามาตอบ