ปัญหาสภาพโลกร้อน ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง เกิดภาวะก๊าซเรือนกระจก สาเหตุจากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล อาทิ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซมีเทน ตลอดจนการตัดไม้ทำลายป่าโดยการเผา และการทับถมกันของขยะ ของซากพืช ล้วนก่อให้เกิดก๊าซ ซึ่งในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และปัจจุบัน ปี 2548 มี CO2 สูงกว่าปี 2533 ถึง 12 เท่า และวิกฤติสิ่งแวดล้อมโลกได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์มนุษย์ให้เข้าใจอยู่อย่างหนึ่งร่วมกัน นั่นคือ โลกนี้เป็นโลกใบเดียวกัน ดังนั้นจึงกระทบทั่วถึงกัน
พลังงาน คือสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในขณะที่สัดส่วนของการใช้พลังงานกลับไม่เท่าเทียม นั่นคือประเทศที่พัฒนาแล้วไม่กี่ประเทศ ใช้รวมกันมากถึง 68% อาทิ สหรัฐ 25% ยุโรป 21% ออสเตรเลีย 15% โซเวียต 12% และ เอเชีย 19%
สนธิสัญญาเกียวโตจึงพยายามแบ่งสัดส่วนความรับผิดชอบเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบและเกิดความเป็นธรรม ตามปริมาณการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
นอกจากนั้น ยังพยายามค้นหาแนวทางใหม่ๆ เช่น การใช้พลังงานทางเลือก ในกรณีที่ปรับเปลี่ยนได้ และกรณีประกำลังพัฒนา ที่ยังไม่ลงทุนด้านพลังงาน ก็กระตุ้นให้หันมาใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานสีเขียว หรือพลังงานที่ให้กำเนิดก๊าซคาร์บอนน้อยที่สุด อาทิ ก๊าซธรรมชาติ ปริมาณ 25 ล้านตัน ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 3 ล้านตัน แต่ถ้าใช้พลังงานหมุนเวียนสะอาด จะผลิตคาร์บอนหรือ CO2 เพียง 0.8 ล้านตันเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับอุณหภูมิของโลกที่ผ่านมา ในรอบ 1000 ปี จะพบว่า โลกเรามีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายเท่าตัว และมีการคาดทำนายว่า อีก 100 ปี ข้างหน้า ถ้าไม่มีการควบคุมปริมาณ CO2 จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโลก และ “ต้องใช้เวลาเยียวยาอีกหลายร้อยปี” ซึ่งถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นเช่นนี้ทุกปีๆ เชื่อว่า อีกไม่นานจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ สามารถอยู่รอดได้บนโลก อีกทั้งจะเกิด พายุ ร้อนจัด แล้งจัด น้ำท่วม สภาพภูมิอากาศ แปรปรวน พืช สัตว์ตายและสูญพันธุ์ จนหมด
หากต้องการฟอกอากาศ ฟื้นฟูบรรยากาศโลกให้สะอาด โดยการปลูกป่า เชื่อว่าต้องใช้เวลาถึง 21 ปีเพื่อที่จะย่อยสลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมากถึง 70 ปี สำหรับก๊าซมีเทน จึงจะฟอกหรือฟื้นฟูอากาศ ให้ก๊าซพิษเหล่านี้หมดไปจากโลก
ปรากฏการณ์ในปัจจุบัน สิ่งที่พบคือ เริ่มกระทบกับภาคการเกษตร กระทบกับความหลากหลายทางชีวภาพ อาทิ ในเขตทุนดร้า กระทบกับทรัพยากรน้ำ (น้ำท่วม แล้งจัด) กระทบกับป่าไม้ (ไฟป่า) กระทบกับระบบสุขภาพของมนุษย์ เชื้อโรคแข็งแรงมากขึ้น มีโรคระบาดใหม่ๆ มากขึ้น และกระทบกับโครงสร้างพื้นฐานในการดำรงอยู่ การตั้งถิ่นฐานและการจัดการทางสังคมของมนุษย์ด้วย กรณีประเทศไทย สิ่งที่ชี้ชัดที่สุดคือ ระดับน้ำทะเลได้สูงขึ้นกว่าเดิมถึง 50 ซม. แถวบางขุนเทียน ทำให้เสาไฟฟ้าไปยืนอยู่กลางน้ำ มีผลทำให้กรุงเทพฯ เมืองที่รับน้ำหนักอาคาร อยู่กว่ากว่าระดับน้ำทะเลไม่กี่ซม.
ปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อมนี้ ในเวทีประชาคมโลก ในนามสหประชาชาติ ได้พยายามสร้างกลไกขึ้นมาหาทางแก้ไขร่วมกัน อาทิ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) และ UNFCC ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ลดปริมาณก๊าซ (CDM : Clean Development Mechanism ) บทบังคับทางกฎหมาย สร้างกลไกลดก๊าซ อาทิ ถ่านหิน และสร้างพันธกิจรับผิดชอบร่วมกัน
แนวทางแก้ไขอื่นๆ ก็มีหลายข้อ อาทิ ลดขนาดเศรษฐกิจ อาทิ จำกัดปริมาณการค้า จำกัดเส้นทางการค้า เส้นทางมนุษย์ นอกจากนั้น ก็ลดขนาดอุตสาหกรรม เพื่อลดขนาดพลังงาน ซึ่งด้านหนึ่งก็คือ เพิ่มขนาดออกซิเจน และตามด้วยพัฒนาเทคโนโลยีขนาดเล็ก เทคโนโลยีสีเขียว สร้างวัฒนธรรมทางสังคมแบบใหม่ ลดการบริโภค การเสพที่ฟุ่มเฟือยล้างผลาญ เป็นต้น
ส่วนบทบาท กลุ่ม G 77 กับ ประเทศด้อยพัฒนา ประมาณ133 ประเทศ เปรียบเทียบแล้ว แทบไม่ได้อะไรเลยเกี่ยวกับสำนึกความผิดชอบ จากประเทศร่ำรวยเหล่านี้ ในขณะที่ พิธีสารเกียวโต ทำได้แค่ก่อให้เกิดสินค้าตัวใหม่ขึ้น นั่นคือ “ออกซิเจน” เพื่อมาชดเชย “คอร์บอนไดออกไซด์” ที่ประเทศอุตสาหกรรม ไม่กี่ประเทศ เลือกที่จะจ่ายเงินชดเชย แทน “ปริมาณออกซิเจน” เพื่อแลกกับการ “ไม่ลดปริมาณการใช้พลังงาน” หรือ สิทธิพิเศษในการปล่อยก๊าซสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา
นับว่าเป็นกลไกบังคับ ที่ดูแล้วมีหน้าตาอัปลักษณ์มากที่สุด ที่ประเทศเจริญแล้วเขาคิดกันได้ ทำให้ปัจจุบันประเทศผู้ผลิตควันพิษ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ยังมากอยู่ แต่ก็มีหลายประเทศเริ่มหันมาลงทุน เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งกำลังเจรจาหาทางซื้อออกซิเจนจากประเทศด้อยพัฒนา อาทิ อินโดนีเซีย พม่า ลาว และไทย โดยจ้างให้ปลูกป่าถาวร ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาร่วมกันของ 2 ประเทศ ในการซื้อขายก๊าซออกซิเจน (CDM : Clean Development Mechanism )
ข้อดีคือการที่ประเทศพัฒนาแล้ว ได้เข้ามาช่วยประเทศกำลังพัฒนา ลงทุนและรักษาทรัพยากร พร้อมทั้งสร้างเทคโนโลยีด้านพลังงานที่สะอาดขึ้นมาใช้ด้วย เพื่อให้บรรลุถึงศักยภาพการพัฒนาที่ยั่งยืน
เพียงแต่ หากประเทศกำลังพัฒนาพุ่งเป้าหมายที่จะสร้างป่าเพื่อที่ขายออกซิเจนฟอกปอดให้มนุษย์โลก (ที่ร่ำรวย) และหันไปใช้พลังงานเล็กๆ แต่สะอาดต่อสิ่งแวดล้อมแทน แล้วประเทศพัฒนาแล้วหล่ะ ทำอะไร ? ที่มากกว่าจ่ายเงินซื้อออกซิเจนราคาถูกๆ
นั่นคือต้องจ่าย ค่าเสียโอกาสในการพัฒนา และสร้างความเข้มแข็ง ในด้านความร่วมมืออื่นๆ เพื่อให้โลกก้าวไปสู่ความยั่งยืนและให้มนุษยชาติได้ไกล่เกลี่ยทรัพยากร เพื่อยกระดับสังคมไปสู่สังคมที่มีความเป็นธรรมด้วย
แนวคิดการเพิ่มพื้นที่ป่า เพื่อดูดซับ CO2 นั้น จำแนกพื้นที่ ได้ 2 ประเภท คือ พื้นที่ที่ไม่ใช่ป่า คือพื้นที่ว่างเปล่า และพื้นที่ที่เป็นป่าถูกทำลาย เมื่อหาพื้นที่ได้ตามต้องการแล้ว ก็จะคำนวณปริมาณออกซิเจนจากชนิดของป่าหรือพันธุ์ไม้ ที่สามารถผลิตอากาศ หรืออกซิเจนได้ แล้วคำนวณออกมาเป็นราคา
ประเด็นสำคัญคือ ประเทศไทยมีความสนใจที่จะให้เช่าพื้นที่ปลูกป่าเพื่อกักเก็บอากาศ ซึ่งเชื่อว่า “ถ้ามีแผนการจัดการที่ดี และเปิดให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมเสนอแนะรับฟัง” ก็นับว่า การปลูกป่าขายอากาศอาจจะเป็นแนวทางหนึ่ง ที่น่าสนใจ แต่โครงการนี้
หนึ่ง ต้องไม่บุกรุป่าสมบูรณ์ และ สอง ประชาชนต้องมีสิทธิทำกินใช้สอยประโยชน์จากป่าปลูกได้ด้วย อย่าให้คนจนที่อยู่กับป่า ทำหน้าที่ ทำภารกิจ ผลิตอากาศให้คนเมือง คนรวยและคนชั้นกลาง ได้รับผลประโยชน์ฝ่ายเดียว
การที่เมืองสร้างปริมาณคาร์บอนทำลายอากาศมาก แล้วให้ชนบทผลิตอากาศทดแทน กำลังเป็นวงจรพันธกิจ แบบพึ่งพาเสมือนประเทศกำลังพัฒนาในปัจจุบันซึ่งไม่เป็นธรรม เพราะเงื่อนไขพิธีสารนี้ เช่น ถ้าญี่ปุ่นผลิต CDM หรือออกซิเจนได้มาก ก็จะสามารถผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ ทำลายชั้นบรรยากาศได้มาก ซึ่งก็คือปล่อยก๊าซพิษได้มากนั่นเอง เงื่อนไขนี้ประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศยากจน มีหน้าที่เพียงทำความสะอาดโลก ขายอากาศราคาถูกๆ แล้วก็ซื้อของแพงๆ จากประเทศพัฒนาแล้ว
ส่วน CDM ปลูกจะที่ไหนก็ได้ เพียงแค่ผ่านภาครัฐในประเทศนั้นๆ รับรู้ เพียงแต่ต้องปลูกในพื้นที่ใหม่ เอาผืนป่าเดิมไม่ได้
แม้แต่ราคาอากาศที่คาดว่าจะมีการลงทุนซื้อ คือ 30 เหรียญ / 1 ตันคาร์บอน เท่านั้น โดยที่ผู้ผลิตอากาศ คือประเทศที่มีพื้นที่ปลูกป่า เช่น ประเทศไทย ในส่วนประชาชนยังไม่ได้รับรู้และมีส่วนร่วมกำหนดเงื่อนไขตลอดจนราคาแต่อย่างใด
ดังนั้น พิธีสารนี้ จะดีหรือไม่ก็แล้วแต่ ด้านหนึ่งก็นับว่ายังเห็น ประเทศที่รวยแล้ว พยายามจะแสดงสำนึก มีส่วนร่วมความรับผิดชอบปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่คำถามถึงด้านอื่นๆ คือ ประเทศที่ผลิตคาร์บอนออกไซด์มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ทำไมไม่ยอมลงนามพิธีสารเกียวโต และไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ และ ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งเสียสละโอกาสตัวเอง เก็บพื้นที่ปลูกป่าโดยคิดแค่ค่าอากาศ ได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง และ ประเทศพัฒนาแล้วจะจำกัดหรือลดปริมาณการใช้พลังงานของตนเองได้อย่างไร
งานนี้รัฐบาลไทยนั้น “แอบ” สนใจที่จะผลิตอากาศขายให้ญี่ปุ่น โดยอาจจะเลือกพื้นที่ที่จังหวัดยะลาและนครราชสีมา ซึ่งที่นครราชสีมามีการคาดว่า รัฐบาลอาจจะกันพื้นที่มากถึง 400,000 ไร่ เพื่อปลูกป่าขายอากาศ ซึ่งคาดว่าหากเป็นป่ายูคาร์ลิปตัส 550 ไร่ จะได้ออกซิเจน 8,000 ตัน / ปี
กรณีไทย คำถามที่รัฐบาลต้องตอบ คือ ลักษณะของพื้นที่ที่จะนำไปปลูก ลักษณะของที่ดิน ลักษณะของพันธุ์พืช และเงื่อนไขที่ตกลง ตลอดจนระบบกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินทำกิน ที่ประชาชนใช้ทำมาหากินอยู่ รัฐบาลจะจัดการอย่างไร และทั้งหมดมีการศึกษาถึงความเหมาะสมหรือยัง
ที่สำคัญ “ถามประชาชนเจ้าของประเทศด้วย ?” . . .
อัฎธิชัย ศิริเทศ
ทีมงาน ThaiNGO รายงาน
26 กันยายน 2548