คุณหมอเซดอร์กล่าวว่า ชาวทิเบตมีความเชื่อว่า “หากมียาพิษ ก็ต้องถอนพิษได้” เมื่อเป็นโรคก็ต้องรักษาได้ การแพทย์แผนทิเบตเริ่มมีมาเมื่อ 3,000 กว่าปีแล้ว บิดาทางการแพทย์ชื่อว่า ยูทก เย็นเต็ล กมโป ผู้เขียนคัมภีร์ตำรับยาไว้มากมายจนสืบทอดใช้เป็นตำราแพทย์ในปัจจุบัน การบำบัดโรคต้องเข้าใจตัวบุคคล ที่ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ไม่เหมือนกัน ซึ่งของทิเบตจะมีเพียง 3 ธาตุ ได้แก่ ธาตุลม, ธาตุไฟ และธาตุน้ำ ความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อธาตุเสียสมดุล โดยหมอทิเบตจะตรวจด้วยการดูตา, ลิ้น, ปัสสาวะ และจับชีพจร หมอทิเบตจะไม่นึกรังเกียจปัสสาวะของคนไข้ เพราะมองว่าเปรียบเสมือนแม่ตนเอง จะชิมและดมได้
คนธาตุลมหากเสียสมดุลลิ้นจะแดง, หยาบกระด้าง ปัสสาวะจะมีฟอง สีขาวใส มีอาการหมดเรี่ยวแรง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย หูอื้อ ตาพร่ามัวบ่อยๆ จึงควรกินข้าวบาร์เลย์, ผลิตภัณฑ์จากเนย, กระเทียม อยู่ในที่ถ่ายเทสะดวก ทำใจให้สบาย ไม่เครียด ถ้าธาตุไฟลิ้นจะเหลือง จับแล้วแข็ง ปัสสาวะเหลืองผสมแดงเข้มและมีกลิ่นแรง มีปัญหาระบบลมหายใจ ไอ มีเสมหะ ไม่สบายคอและปาก บางทีก็เจ็บหน้าอกลามไปถึงปวดหลัง หมอจะแนะนำให้กินผักเยอะๆ น้ำร้อนเยอะๆ เพราะจะไปช่วยเสริมให้ร่างกายเพิ่มความร้อน อยู่ในที่เย็นๆ เพราะหากอยู่ในที่ร้อนแล้วจะเวียนหัว หายใจไม่ออก ส่วนธาตุน้ำ ลิ้นจะฝ้าขาวซีด นุ่มนิ่ม ปัสสาวะขาวใสและไม่มีฟอง เบื่ออาหาร ทานแล้วอยากอาเจียน หนาวสั่นเหมือนขาดความร้อนในร่างกายและวิงเวียนศีรษะ ทานปลาจะดีที่สุด รับประทานโยเกิร์ต น้ำผึ้ง และเนื้อแกะ ไม่ควรทำงานหนักเพราะเป็นคนตัวหนักแล้วจะเหนื่อย อ่อนแรงง่าย
สำหรับโรคมะเร็งหากรู้แต่เนิ่นๆ ก็จะรักษาได้ด้วยการปรับการรับประทานอาหารก่อนเป็นลำดับแรก แล้วค่อยเสริมด้วยยาสมุนไพร ชาวทิเบตเชื่อว่า อาหารกระป๋องเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ถ้าเลี่ยง ได้ก็จะดีที่สุด เพราะมะเร็งเกิดจากสารเคมี สารกันบูดทั้งหลาย อาหารยิ่งเก่าเก็บก็ยิ่งเป็นตัวก่อมะเร็งในร่างกาย ส่วนใหญ่จะใช้เวลารักษาประมาณ 3 เดือน แต่หากป่วยหนักในขั้นรุนแรงก็ถือว่าเป็นเวลาของคนไข้ หมอจับชีพจรก็จะรู้แล้ว จะไม่ทำอะไร ไม่ไปรักษายืดเยื้อ ไม่ปั๊มหัวใจ เพราะถือว่าขัดต่อวิธีการรักษาของทิเบต ทุกอย่างควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
สุดท้ายในเรื่องการบ่มเพาะความเป็นหมอ ครูอาจารย์จะสอนให้มีจิตใจเป็นโพธิสัตว์ มองคนไข้คือแม่ตัวเองตลอดเวลา ส่วนพยาบาลแม้จะไม่ได้เรียนคัมภีร์ เหมือนหมอ แต่ก็ถูกอบรมสั่งสอนเน้นให้มีความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผู้ดูแลผู้ป่วยก็ให้มองว่า คนที่เรากำลังดูแลอยู่นั้นคือสมาชิกในครอบครัวของเราจริงๆ และหมั่นฝึกปฏิบัติธรรมด้วย.
ที่มา :http://www.thairath.co.th/news.php?section=society&conten
ไม่มีความเห็น