ตำนานการฟ้อนรำ(2)
ครับคงได้อ่านตอนแรกของตำนานการฟ้อนรำแล้วนะครับ วันนี้จะเล่าต่อในตอนที่ 2 ครับ
ต่อมาพระยาอนันตนาคราชซึ่งได้ติดตามพระผู้เป็นเจ้าทั้งสองเมื่อครั้งไปปราบพวกฤาษี ได้เห็นพระอิศวรฟ้อนรำเป็นที่งดงาม จึงใคร่อยากชมพระอิศวรฟ้อนรำอีกครั้ง พระนารายณ์จึงแนะนำให้ไปบำเพ็ญตบะบูชาพระอิศวรที่เชิงเขาไกรลาศ เพื่อให้พระอิศวรทรงเมตตาประทานพร จึงทูลขอพรให้ได้ดูพระอิศวรทรงฟ้อนรำตามประสงค์ ครั้นเมื่อพระยาอนันตนาคราชบำเพ็ญตบะ จนพระอิศวรเสด็จมาประทานพรที่จะฟ้อนรำให้ดู โดยตรัสว่าจะเสด็จไปฟ้อนรำให้ดูในมนุษยโลก ณ ตำบลจิดรัมบรัม หรือ จิทัมพรัม ซึ่งอยูทางตอนใต้ของอินเดีย เพราะเห็นว่าเมืองนี้เป็นศูนย์กลางของมนุษยโลก พระอิศวรแสดงการฟ้อนรำให้ประชาชนชมถึง 108 ท่าด้วยกัน ประชาชนจึงสร้างเทวาลัยขึ้นที่เมืองนี้ เพื่อเป็นที่เคารพบูชาแทนองค์พระอิศวร ภายในเทวาลัยนี้แบ่งออกเป็น 108 ช่อง เพื่อแกะสลักท่าร่ายรำของพระอิศวรไว้จนครบ 108 ท่า การร่ายรำครั้งนี้ถือเป็นการร่ายรำครั้งที่ 2 ของพระอิศวร
ในสมัยต่อมาพระอิศวรทรงแสดงฟ้อนรำให้เป็นแบบฉบับ จึงเชิญพระอุมาให้มาประทับเป็นประธานเหนือสุวรรณบังลังก์ ให้พระสรัสวดีดีดพิณ ให้พระอินทร์เป่าขลุ่ย ให้พระพรหมตีฉิ่ง ให้พระลักษมีขับร้อง และให้พระนารายณ์ตีโทน แล้วพระอิศวรก็ทรงฟ้อนรำให้เทพยดา ฤาษี คนธรรพ์ ยักษ์ และนาคทั้งหลายที่ขึ้นไปเฝ้าได้ชมอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นการร่ายรำครั้งที่ 3 ของพระอิศวร โดยในครั้งนี้พระ องค์ทรงให้พระนารทฤาษีเป็นผู้บันทึกท่ารำ แล้วนำมาสั่งสอนแก่เหล่ามนุษย์
ฟังตำนานแล้วอาจดูเหลือเชื่อนะครับ แต่ก็เป็นตำนานที่เล่าสืบทอดต่อกันมานานจากรุ่นสู่รุ่นหลายชั่วอายุคนแล้ว ยังไม่จบนะครับ คำว่าตำนานก็ต้องเป็นเรื่องราวที่ยาวพอสมควรจะเล่าในคราวต่อไปนะครับ