บทนำ


คนมากมายอยู่เพื่อตัวเอง ไม่เคยคิดถึงผู้อื่น หลังจากสิ้นลมก็ถูกลืม ฉากชีวิตก็ถูกปิด

มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่เพื่อผู้อื่น แบกรับความทุกข์ยากของผู้คน คนเหล่านี้ความตายไม่สามารถลบล้างพวกเขาได้ ซึ่งอิหม่ามหะซัน อัลบันนา เป็นหนึ่งในคนเหล่านี้

แม้ว่าท่านมีความสามารถสูงส่ง เฉลียวฉลาด ไหวพริบปฏิภาณดี เป็นครูที่พูดโน้มน้าวเก่ง เป็นนักพูดฝีปากกล้า เป็นนักเขียนที่เลอเลิศ มีความเป็นผู้นำ เป็นนักวางกลยุทธ เป็นนักการเมืองผู้เจนจัด แต่ว่าลักษณะอันโดดเด่นของท่านกลับเป็นการก่อตั้งองค์กรเผยแพร่ศาสนาอย่างเป็นระบบ ที่มีคุณสมบัติที่จะแพร่หลายข้ามพรมแดนเขตชาติและทวีป สามารถสร้างมุสลิมที่สามารถพลีตนและทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออัลลอฮ์ได้

ลิขิตแห่งองค์อภิบาลกำหนดให้ หะซัน อัลบันนา ถือกำเนิดในกลียุค ยุคต่อต้านอิสลาม โลกมุสลิมประสบกับแผนร้ายของนักล่าอาณานิคมที่แผ่อิทธิพลทั่วไป สงครามทางความคิดและอารยธรรมเกิดขึ้นกับประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ ที่สุดแห่งโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับโลกมุสลิมช่วงนั้นคือ การล้มล้างระบบคอลีฟะต์อิสลาม ในปี ค.ศ. 1924 แผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของระบบคอลีฟะต์ อันเป็นศูนย์รวมและสัญลักษณ์แห่งเอกภาพของมวลมุสลิม ได้กลายเป็นอาณาจักรเซคคิวลาร์ กฎหมายอิสลามถูกล้มล้าง มุสลิมเป็นประหนึ่งฝูงแพะค่ำคืนฝนกระหน่ำ ความรู้ความคิดเกิดการพลิกผัน การละทิ้งศาสนาเกิดการแพร่หลาย ผลงานและศักดิ์ศรีแห่งอิสลามถูกป้ายสี อาณาจักรอิสลามถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยที่มีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน อุมมะต์อิสลามไร้ที่พึ่งใดๆนอกจากอัลลออ์และแรงศรัทธาต่อพระองค์

หะซัน อัลบันนาถือกำเนิดขึ้นมาในสภาพเฉกนี้ ท่านตระหนักดีว่าความพยายามของนักต่อสู้อิสลามจะสูญเปล่าตราบใด

ที่มีลักษณะเป็นการทำงานส่วนบุคคล ต่างคนต่างทำ ท่านเห็นความสำคัญที่จะต้องระดมกำลัง ร่วมมือกันทำงานในองค์กรเดียวกันที่เป็นองค์กรอิสลามเต็มรูปแบบ ที่ทำงานเพื่ออิสลามในชีวิตทุกๆด้าน นำเสนออิสลามแบบใหม่ อิสลามที่เต็มลักษณะและสง่างาม ซึ่งท่านเป็นนักปฏิรูปมุสลิมตามนัยแห่งวจนศาสดา ว่า

يأتى أمتى على رأس كل مائة سنة من يجدد لها أمر دينها

ทุกๆ เริ่มต้นศตวรรษ จะมีผู้มาปฏิรูปเรื่องศาสนาให้แก่ประชาชาติของฉัน

อัลลอฮ์ได้รวบรวมความอัจฉริยะภาพของผู้นำมุสลิมมากมายไว้ในตัวหะซัน อัลบันนา อาทิ ญะมาลุดดีน อัลอัฟฆอนีย์ มุฮัมมัด อับดุห์ รอชีด ริฎอ

ญะมาลุดดีน อัลอัฟฆอนีย์ เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความอาฆาตพยาบาทต่อชาวมุสลิมที่สถิตย์อยู่ในใจ

นักล่าอาณานิคมชาวยุโรป

มุฮัมมัด อับดุห์ เป็นผู้ที่เน้นการติดอาวุธทางปัญญาและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่แก่มุสลิม

รอชีด ริฎอ เป็นนักอรรถาธิบายอัลกุรอ่าน ผู้ยึดแนวทางสะลัฟ เป็นมุฟตีที่รู้วิญญาณและเป้าหมายของอิสลาม

ท่านจึงเป็นผู้ที่ความรู้ความเข้าใจประดุจดังนักกฎหมายอิสลามผู้ยิ่งใหญ่ของเรา และมีแนวคิดอัจฉริยะของนักปฎิรูปผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย

ถึงแม้ว่าท่านไม่ได้เป็นนักเขียน แต่ข้อเขียนของท่านก็แพร่หลายตามวารสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ ท่านเขียนเรื่องวิชาการอิสลาม และวิชาการทั่วไป ท่านเขียนทั้งวิชาการด้านตัฟซีรและหะดิษ ฟิกฮ์และอุศูลุลฟิกฮ์ จริยธรรมและตะเซาวุฟ ประวัติศาสตร์และบุคคลสำคัญ คำสอนและคุตบะต์ การทำงานองค์กรและการเผยแพร่ศาสนา การศึกษาและการปฏิรูป การเมืองและสังคม เศรษฐกิจและสถาปัตยกรรม ท่านเขียนงานเหล่านี้อย่างผู้เชี่ยวชาญที่มีวิจารณญาณ

ท่านอ่านอัลกุรอ่านเสียงดังกังวาน และอธิบายได้อย่างกับเป็นตอบารีย์หรือกุรตูบีย์ ท่านสามารถอธิบายข้อความยากๆให้ผู้คนเข้าใจได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าท่านไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นศูฟีย์ แต่ว่าในการอบรมสั่งสอนของท่าน ท่านเน้นปลูกฝังความรักต่ออัลลอฮ์ ท่านกล่าวถึง ฮาริษ อัลมุฮาสิบีย์ และอบูฮามิด อัลฆอซาลีย์ เสมอ

ท่านศึกษาซุนนะต์จากบิดาของท่าน ผู้เรียบเรียงมุสนัดอะหมัด บินหัมบัล อีกทั้งได้เรียนฟิกฮ์เฉพาะมัซฮับอีกด้วย ทำให้ท่านสามารถเข้าใจแนวคิดของชาวสะลัฟและคอลัฟได้อย่างแจ่มแจ้ง

ท่านศึกษาประวัติศาสตร์อิสลาม จนสามารถเข้าใจถึงสาเหตุปัจจัยความเจริญรุ่งเรืองและความตกต่ำของมุสลิมในยุคต่างๆ โดยเน้นการศึกษาโลกมุสลิมปัจจุบันและการต่อสู้กับศัตรูชาวต่างชาติ

เมื่อดูผลงานของท่าน ไม่มีใครคิดเลยว่าเป็นผลงานของชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปตอนอายุ สี่สิบต้นๆเท่านั้น หากว่าไม่ได้รับการอำนวยจากองค์ผู้สูงส่ง

คนมากมายที่เข้าใจอิสลามเพราะท่าน ผู้หลงผิดมากมายกลับตัวกลับใจเพราะท่าน สาธารณชนที่เคยร้องตะโกนบูชานักการเมือง กลับมากล่าวตักบีร ตัสเบียะห์อัลลอฮ์ นักคิดนักวิชาการเท่าไรที่เคยละเลยต่ออิสลาม ไม่สนใจต่อคำสอนของอัลลอฮ์ แต่หลังจากที่ได้ยินคำสอนของท่าน กลับมายึดมั่นต่อศาสนา มาร่วมเรียกร้องสู่การใช้ชีวิตภายใต้หลักการศาสนา ภายในระยะเวลาแค่ 20 ปี ท่านใส่วิญญาณแก่ร่างกายมุสลิมที่แน่นิ่งไปแล้วให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ท่านสร้างมวลชนที่ทำให้นักล่าอาณานิคมทางทหาร ทางความคิดทางการศึกษาต้องตระหนก

ผลงานดังกล่าว ท่านทั้งหลายคิดหรือว่าเป็นเพราะศักยภาพของคนๆเดียว โดยปราศจากการอำนวยจากองค์ผู้สูงส่งกระนั้นหรือ ? หาไม่เลย ...

ด้วยบุคลิกภาพ ความเคร่งครัดทางศาสนา ความสัมพันธ์กับอัลลอฮ์อันแน่นแฟ้น ความเข้าใจอิสลามอันลึกซึ้ง เข้าใจสภาพสังคม รู้ซึ้งถึงปัจจัยของการพัฒนา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการอนุเคราะห์ขององค์อภิบาลต่อประชาชาติอิสลาม ท่านก่อตั้งองค์กรของท่านขึ้นมาในปี ค.ศ. 1928 ภายหลังจากระบบคอลีฟะต์ถูกล้มล้างประมาณ 4 ปี ได้ปฏิบัติตามแผนงานฟื้นฟูประชาชาติอย่างเต็มรูปแบบ ได้อุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อการนี้ ได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนมาร่วมงานด้วยกัน ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุเพียงแค่ 20 กว่าๆเท่านั้น

จิตใจอันมุ่งมั่นของท่านมีความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของมวลมุสลิม คนที่ไม่รู้จักท่านคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน

องค์กรที่ตั้งขึ้นมีเป้าหมาย 2 ประการ คือ

หนึ่ง กู้เอกราชรัฐอิสลามให้พ้นจากการยึดครองทุกรูปแบบของต่างชาติ

สอง จะต้องสถาปนารัฐอิสลามที่นำคำสอนอิสลามมาปฏิบัติอย่างครบถ้วน ทั้งหลักคำสอนทางสังคม และเรียกร้องผู้คนสู่อิสลาม

แนวทางไปสู่เป้าหมายดังกล่าวโดยรวมๆแล้วคือ การสร้างปัจเจกชนให้เป็นมุสลิมเต็มรูปแบบ ทั้งด้านความเชื่อ ความคิด จิตใจ ร่างกาย การประกอบศาสนกิจ เมื่อนั้นก็เกิดเป็นครอบครัวมุสลิม แล้วเป็นชุมชนมุสลิม ซึ่งการปฏิรูปสังคมและรัฐอิสลามก็จะบังเกิดผลสำเร็จด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์

อิหม่ามหะซัน อัลบันนา ไม่ละเลยบทบาทของมุสลิมะต์ ในองค์กรมีหน่วยงานอะคอวาตมุสลิมาต สำหรับมุสลิมะต์โดยเฉพาะ เน้นการให้การศึกษาอบรมเพื่อให้เป็นมุสลิมะต์ที่ถูกต้องสมบูรณ์ คู่ควรต่อภาระหน้าที่สร้างอนุชนที่จะนำมาซึ่งชัยชนะดังคาดหวัง เป็นสมาชิกสังคมที่มีคุณภาพและบทบาทต่อสังคม ท่านไดก่อตั้งโรงเรียนสตรีฮิรออ์ขึ้นมา ในยุคที่การศึกษาของสตรีในโลกมุสลิมเป็นสิ่งประหลาด ที่นั่นยังมีการอาชีพแก่พวกนางอีกด้วย

ชีวิตของอิหม่ามหะซัน อัลบันนา ใช้ไปในการต่อสู้ปกป้องเสรีภาพทางการเมืองของมุสลิม เพื่อการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีในการเลือกผู้นำระดับต่างๆ ท่านเห็นว่าระบบรัฐสภาเป็นระบบที่ใกล้เคียงกับอิสลามมากที่สุด

ตามทัศนะของท่าน ดุนยาทั้งหลายล้วนไร้ค่า ท่านสาละวนอยู่กับการละหมาดอย่างมุ่งมั่น การกียามุลลัยล์อันยาวนาน การเดินทางเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปยังทั่วทุกสารทิศ ธรรมมาสน์ทุกเมือง ทุกตำบลของอียิปต์ล้วนเคยรู้จักท่าน บางครั้งท่านละหมาดซุบฮ์ ที่ไคโร ละหมาดซุห์รี่ ที่อัลมีเนีย แล้วเดืนทางไปยังซูฮาจ แล้วไปกีนา แถบที่ราบสูง โดยหาเวลานอนหลับช่วงโดยสารรถไฟระหว่างเมืองเหล่านี้เท่านั้น

ชีวิตของท่านนับเป็นนาทีมิใช่เป็นชั่งโมง เป็นวัน หรือเป็นปี ท่านเดินทางไปยังสิบๆ จังหวัด และได้ไปพูดคุยกับมวลชนอย่างน้อยสามพันตำบล ท่านสร้างความรักด้วยรอยยิ้ม สร้างความมั่นใจด้วยเหตุผล หลีกเลี่ยงการโต้เถียงทุกรูปแบบ เน้นให้มุสลิมยึดมั่นต่อแก่นสารไม่ใช่กระพี้ จัดเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง โดยเน้นย้ำการตักวาต่ออัลลอฮ์และเตรียมตัวเพื่อพบกับพระองค์เสมอ

ท่านกล่าวเสมอว่า การตายเพื่อความถูกต้องคือการมีชีวิตที่แท้จริง

โดยปกติแล้ว คนทั่วไปอาจมีเวลาฮึกเหิมและเวลาอ่อนล้า การมีแสงสว่างในตัวเองเสมอเป็นลักษณะของดาวฤกษ์เท่านั้น หะซัน อัลบันนา จึงเป็นประดุจดังดาวฤกษ์ที่ไม่เคยดับแสง

ท่านถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยมในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1949 ในขณะที่องค์กรอิควานมุสลิมีนกำลังเผชิญหน้ากับอุปสรรคปัญหาอันแสนสาหัส เจ้าหน้าที่ความมั่นคงห้ามสานุศิษย์และประชาชนทุกคนแม้กระทั่งการไว้อาลัยและ
ละหมาดแก่ร่างอันไร้วิญญาณของท่าน
บรรดาบุตรีของท่านจึงต้องทำหน้าที่หามศพของท่านไปยังหลุมศพและฝังด้วยตนเอง ด้วยอายุเพียง 43 ปีเท่านั้น

วันนี้ 55 ปีที่ท่านจากไป ชื่อเสียงของท่านกลับยิ่งแพร่หลายไปในวงการต่างๆ อุดมการณ์ของท่านยิ่งแทรกซึมไปยังทุกหัวระแหงของโลก

คำสอนของหะซัน อัลบันนา จะต้องดำรงอยู่ เป็นคำสอนที่มุสลิมผู้มีความบริสุทธิ์ใจต่อศาสนาไม่มีวันโกรธเกลียด องค์กรของหะซัน อัลบันนา แม้กระทั่งหลังจากท่านถูกลอบสังหารเสียชีวิตไปแล้วหลายสิบปี ก็ยังเป็นองค์กรที่มีความพอดีที่สุด ไม่สุดโต่งและไม่หละหลวม และยังเป็นแนวคิดที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์อิสลามยุคปัจจุบันเสมอ
คำสำคัญ (Tags): #บันนา
หมายเลขบันทึก: 113695เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2007 10:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2012 01:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท